เจาะพอร์ต หมื่นล้าน 'มงคล ประกิตชัยวัฒนา' 4 หุ้น ดิ่งฟลอร์ 2 วัน มูลค่าวูบหลายพันล้าน
เจาะพอร์ต หมื่นล้าน 'มงคล ประกิตชัยวัฒนา' 4 หุ้น KTC - BEC - XPG - TPS ดิ่งฟลอร์ 2 วัน มูลค่าวูบหลายพันล้าน

ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงเปราะบาง ต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจซบเซา ความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกประเทศไม่ว่าจะเป็นการเจรจาการค้าไทยกับสหรัฐที่ยังคงไม่แน่ชัดว่าจะเจรจาได้สำเร็จหรือไม่ รวมถึงสงครามตะวันออกกลางที่ยังคงต้องจับตาว่า จะปะทุความรุนแรงขึ้นมาอีกเมื่อใด ขณะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา สถานการณ์ยังคงอึมครึม! และปัญหาการเมืองในประเทศ
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนให้ขาดความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย และหุ้นบางตัวราคาถอยลงมาลึก ทำให้มูลค่าของหุ้นที่นักลงทุนถืออยู่ปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะนักลงทุนรายใหญ่ที่มีบัญชีมาร์จินสูงๆ เมื่อชักหน้าไม่ถึงหลัง หากเงินมาเติมพอร์ตไม่ทันสุดท้ายต้องถูก Forced Sell หรือ ถูกบังคับขายในที่สุด
และก่อนหน้าที่ตลาดจะเปิดทำการซื้อ-ขายในวันจันทร์ที่ 23 มิ.ย.2568 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor เพื่อรองรับความผันผวนของตลาดจากสงคราม อิหร่าน-อิสราเอล ที่มีความตึงเครียดในขณะนั้น จากเดิมที่ให้ราคาบวกลบสูงสุด 30% ให้กลายเป็น 15% และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายเบาบางลง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กลับมาประกาศใช้เกณฑ์ Ceiling & Floor ตามเดิมที่ 30% ตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย.2568
ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา หุ้นนับ 10 ตัวดิ่งฟลอร์ลงมาอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ 4 หุ้น ที่ถูกเชื่อมโยงนักลงทุนรายใหญ่ระดับหมื่นล้านบาท อย่าง มงคล ประกิตชัยวัฒนา ดิ่งฟลอร์ลงมาพร้อม ๆ กัน ได้แก่ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC และบริษัท เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TPS จึงเป็นข้อสังเกต ว่าอาจมีการ "บังคับขาย" (Force Sell) หุ้นในพอร์ตของนักลงทุนรายใหญ่นี้
ทั้งนี้ หุ้น KTC หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในยุคหนึ่งหุ้นตัวนี้ถือว่าเป็นหุ้นยอดนิยมของนักลงทุน ปัจจุบันอยู่ในดัชนี SET100 กลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน ในหมวดธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์ เข้าจดทะเบียนในวันที่ 28 ต.ค.2545 ไอพีโอที่ 19.00 บาทต่อหุ้น ในขณะนั้น หุ้นมีราคาพาร์ (Par Value) ที่ 10.00 บาทต่อหุ้น และวันที่ 13 ก.ค.2561 ซื้อขายด้วยพาร์ใหม่ที่ 1 บาทต่อหุ้น
โดยในเดือนพ.ค.2568 หุ้น KTC มีหลักทรัพย์ที่วางเป็นประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิน จำนวน 420,204,381 หุ้น คิดเป็น 16.30% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ราคาปิด ช่วงที่หุ้น KTC ดิ่งฟลอร์
วันที่ 20 มิ.ย.2568 ราคาปิดที่ 34.75 บาท มาร์เก็ตแคป 89,597.11 ล้านบาท
วันที่ 23 มิ.ย.2568 ราคาปิดที่ 29.50 บาท เปลี่ยนแปลง -15.11% มาร์เก็ตแคปลดลง 76,060.86 ล้านบาท
วันที่ 24 มิ.ย.2568 ราคาปิดที่ 25.00 บาท เปลี่ยนแปลง -15.25% มาร์เก็ตแคปลดลง 64,458.35 ล้านบาท
เท่ากับในช่วง 2 วัน ราคาหุ้น KTC หายไป 9.75 บาท หรือ ลดลง 28.06% มาร์เก็ตแคปหายไป 25,138.76 ล้านบาท หรือ ลดลง 28.06%
มงคล ประกิตชัยวัฒนา ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 2 จำนวน 327,466,600 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 12.70% วันที่ 20 มิ.ย.2568 มีมูลค่าพอร์ต KTC อยู่ที่ 11,379 ล้านบาท ขณะที่วันที่ 24 มิ.ย.2568 อยู่ที่ 8,187 ล้านบาท
ทั้งนี้ "มงคล" เข้าถือหุ้น KTC ตั้งแต่ปี 2555 ประมาณ 29.6 ล้านหุ้น ซึ่งราคาต่ำ และสูงสุดในช่วงปี 2555 ตั้งแต่เดือนม.ค.- ธ.ค. เฉลี่ยอยู่ที่ 1.39-3.20 บาท
วันที่ 25 มิ.ย.2568 พบมีการซื้อขายบิ๊กล็อต หุ้น KTC อีก 129,204,600 หุ้น มี 14 รายการ มูลค่าสูงสุด 2,672.84 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 20.69 บาท
"เกม" การโจมตีราคาหุ้น
จากความเสียหากของ หุ้น KTC ที่เกิดขึ้น ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาอย่างร้อนแรงอย่างต่อเนื่องตลอด 2-3 วันนี้ นักวิเคราะห์รายหนึ่ง ได้เล่าให้ "กรุงเทพธุรกิจ" ฟังว่า เมื่อตลาดรับรู้ว่า มีนักลงทุนรายใหญ่กำลังประสบปัญหา สถานะมาร์จินตึงตัว และถูกบังคับขาย จะมีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาร่วมผสมโรงและ "ซ้ำเติม" สถานการณ์ โดยการกดดันราคาให้ลงไปอีก ทำให้หุ้นติดฟลอร์ แต่ไม่ได้ใช้เงินจำนวนมากนัก แต่ในสถานการณ์ที่ตลาดขาดสภาพคล่อง หุ้นเพียง 10-20 ล้านหุ้นต่อวัน หรือ ประมาณ 300-400 ล้านบาท ก็สามารถทำให้หุ้นติดฟลอร์ได้ นักลงทุนกลุ่มนี้อาจยอมขาดทุนสั้นๆ 30% เพื่อบีบให้เจ้าของพอร์ตต้องขายเพิ่ม
และเป้าหมายของนักลงทุนกลุ่มที่เข้ามากดดันราคา คือ การบีบให้ราคาหุ้นลงไปต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่จะสามารถ ซื้อหุ้นคืนได้ในราคาที่ถูกลงมาก เช่น อาจจะถูกกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง หรือเหลือเพียง 1 ใน 3 จากราคาปกติ เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย และราคาฟื้นตัว พวกเขาก็จะสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล
ปัจจุบันจึงเป็น "เกม" ของนักลงทุน 2 กลุ่ม ที่ปะทะกันกลุ่มที่ต้องการทุบหุ้นให้ลงลึกๆ กับกลุ่มที่มองว่า ราคาปัจจุบัน ประมาณ 22-23 บาท ซึ่งต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่ประเมินไว้ที่ 25-30 บาท หรืออาจถึง 30 กว่าบาท และมีค่า P/E ต่ำกว่า 10 เท่าแล้วนั้น เป็นราคาที่น่าสนใจ และมีส่วนลดที่เพียงพอ
ทั้งนี้ จากการปิดสถานะการบังคับขายยังไงก็ไม่หมดในเร็วๆ นี้ เนื่องจากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ประมาณ 10-20 ล้านหุ้น เทียบกับจำนวนหุ้นทั้งหมดที่นักลงทุนรายใหญ่ถืออยู่ จึงต้องใช้เวลาพอสมควรในการปิดสถานะทั้งหมด ความไม่แน่นอนนี้อาจทำให้ตลาดผันผวนอย่างมากในช่วงปลายเดือนนี้ ซึ่งนักลงทุนที่เข้าลงทุนในช่วงนี้จะต้องรับความเสี่ยงได้สูง เนื่องจากราคาหุ้นอาจยังคงผันผวน และประสบกับการขาดทุนในระยะสั้นได้ หากยังคงมีการบังคับขายเกิดขึ้น
ส่วนหุ้นอีก 3 ตัวที่ นักลงทุนหมื่นล้านถือ ราคาก็ปรับตัวลงมาแรงจนติดฟลอร์เช่นกัน
หุ้น BEC หรือ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ ใน SET เข้าจดทะเบียนในวันที่ 18 ก.ค.2539
ทั้งนี้ในเดือนพ.ค.2568 หุ้น BEC มีหลักทรัพย์ที่วางเป็นประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิน จำนวน 320,465,634 หุ้น คิดเป็น 16.02% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ราคาปิด ช่วงที่หุ้น BEC ดิ่งฟลอร์
วันที่ 20 มิ.ย.2568 ราคาปิดที่ 3.66 บาท มาร์เก็ตแคป 7,320.00 ล้านบาท
วันที่ 23 มิ.ย.2568 ราคาปิดที่ 3.14 บาท เปลี่ยนแปลง -15.30% มาร์เก็ตแคปลดลง 6,280.00 ล้านบาท
วันที่ 24 มิ.ย.2568 ราคาปิดที่ 2.63 บาท เปลี่ยนแปลง -15.48% มาร์เก็ตแคปลดลง 5,240.00 ล้านบาท
เท่ากับในช่วง 2 วัน ราคาหุ้น BEC หายไป 1.03 บาท หรือ ลดลง 28.14% มาร์เก็ตแคปหายไป 2,080 ล้านบาท หรือ ลดลง 28.14%
มงคล ประกิตชัยวัฒนา ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 7 จำนวน 91,682,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 4.58% วันที่ 20 มิ.ย.2568 มีมูลค่าพอร์ต BEC อยู่ที่ 336 ล้านบาท ขณะที่วันที่ 24 มิ.ย.2568 อยู่ที่ 241 ล้านบาท
"มงคล" เริ่มปรากฏรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 มี.ค.2565 จำนวน 56,187,900 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 2.81%
หุ้น XPG หรือ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ ใน SET เข้าจดทะเบียนในวันที่ 17 มี.ค.2538
ทั้งนี้ในเดือนพ.ค.2568 หุ้น XPG มีหลักทรัพย์ที่วางเป็นประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิน จำนวน 1,443,799,646 หุ้น คิดเป็น 13.49% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ราคาปิด ช่วงที่หุ้น XPG ดิ่งฟลอร์
วันที่ 20 มิ.ย.2568 ราคาปิดที่ 0.71 บาท มาร์เก็ตแคป 7,597.14 ล้านบาท
วันที่ 23 มิ.ย.2568 ราคาปิดที่ 0.60 บาท เปลี่ยนแปลง -15.49% มาร์เก็ตแคปลดลง 6,420.11 ล้านบาท
วันที่ 24 มิ.ย.2568 ราคาปิดที่ 0.50 บาท เปลี่ยนแปลง -16.67% มาร์เก็ตแคปลดลง 5,350.10 ล้านบาท
เท่ากับในช่วง 2 วัน ราคาหุ้น XPG หายไป 0.21 บาท หรือ ลดลง 29.58% มาร์เก็ตแคปหายไป 2,247 ล้านบาท หรือ ลดลง 29.58%
มงคล ประกิตชัยวัฒนา ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 3 จำนวน 651,209,995 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 6.09% วันที่ 20 มิ.ย.2568 มีมูลค่าพอร์ต XPG อยู่ที่ 462 ล้านบาท ขณะที่วันที่ 24 มิ.ย.2568 อยู่ที่ 326 ล้านบาท
"มงคล" เริ่มปรากฏรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 ก.ค.2564 จำนวน 363,041,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 12.67%
หุ้น TPS หรือ บริษัท เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น จำกัด (มหาชน) อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ในตลาดเอ็มเอไอ เข้าจดทะเบียนในวันที่ 15 พ.ย.2562
ทั้งนี้ในเดือนพ.ค.2568 หุ้น TPS มีหลักทรัพย์ที่วางเป็นประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิน จำนวน 8,074,522 หุ้น คิดเป็น 1.92% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ราคาปิด ช่วงที่หุ้น TPS ดิ่งฟลอร์
วันที่ 20 มิ.ย.2568 ราคาปิดที่ 3.28 บาท มาร์เก็ตแคป 1,376.62 ล้านบาท
วันที่ 23 มิ.ย.2568 ราคาปิดที่ 2.78 บาท เปลี่ยนแปลง -15.24% มาร์เก็ตแคปลดลง 1,166.77 ล้านบาท
วันที่ 24 มิ.ย.2568 ราคาปิดที่ 2.38 บาท เปลี่ยนแปลง -14.39% มาร์เก็ตแคปลดลง 998.89 ล้านบาท
เท่ากับในช่วง 2 วัน ราคาหุ้น TPS หายไป 0.9 บาท หรือ ลดลง 27.44% มาร์เก็ตแคปหายไป 377.73 ล้านบาท หรือ ลดลง 27.44%
มงคล ประกิตชัยวัฒนา ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 2 จำนวน 69,654,800 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 16.60% วันที่ 20 มิ.ย.2568 มีมูลค่าพอร์ต TPS อยู่ที่ 228 ล้านบาท ขณะที่วันที่ 24 มิ.ย.2568 อยู่ที่ 166 ล้านบาท
"มงคล" เริ่มปรากฏรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 พ.ค.2566 จำนวน 15,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 4.23%
ตระกูล "ประกิตชัยวัฒนา" เจ้าของกิจการ " ไอที" จ.อุบลราชธานี
ข้อมูลจาก credendata พบว่า บริษัท อุบลไอทีคอม จำกัด เป็นบริษัทที่อยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการจำหน่าย และซ่อมแซมคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อพ่วง และพรินเตอร์ มีทั้งหน้าร้าน และช่องทางออนไลน์สำหรับจำหน่ายสินค้า นอกจากนี้ยังมีบริการประกอบ และอัปเกรดคอมพิวเตอร์ ตั้งอยู่ที่ 357 ถนนสรรพสิทธิ์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี 34000
ทั้งนี้ได้จดทะเบียน เมื่อวันที่ 3 ม.ค.2544 สถานภาพกิจการ เสร็จการชำระบัญชี วันที่เลิก 15 ก.ค.2567 โดย มงคล ประกิตชัยวัฒนา กรรมการหนึ่งคนลงลายมือชื่อ และ ประทับตราบริษัท เทียนชัย ประกิตชัยวัฒนา เป็นกรรมการ และ พิชิต ประกิตชัยวัฒนา เป็นกรรมการ
โดยปี 2566 พบว่า ตระกูล ประกิตชัยวัฒนา ถือหุ้นใหญ่ 1. พิชิต ประกิตชัยวัฒนา สัดส่วน 36.67% มงคล ประกิตชัยวัฒนา สัดส่วน 33.33% เทียมชัย ประกิตชัยวัฒนา สัดส่วน 23.33% กาญจนา ประกิตชัยวัฒนา สัดส่วน 1.67% วิชัย ประกิตชัยวัฒนา สัดส่วน 1.67% อรวรรณ ประกิตชัยวัฒนา สัดส่วน 1.67% และอำไพ ประกิตชัยวัฒนา สัดส่วน 1.67% และพบว่า ปี 2566 มีกำไรติดลบ 105.03% หรือ -89,276 บาท เมื่อเทียบกับ ปี 2565 กำไรที่ 1.77 ล้านบาท
และเมื่อย้อนดูข้อมูลตั้งแต่ปี 2557-2566 รวม 10 ปี บริษัท อุบลไอทีคอม จำกัด มีรายได้รวมสะสม 230.12 ล้านบาท กำไร-ขาดทุนสุทธิสะสม 844,429 บาท รับงานภาครัฐ 3,300 โครงการ มูลค่า 95.12 ล้านบาท
และหากย้อนไปดูตั้งแต่ปี 2555 "มงคล" เคยถือหุ้นใหญ่หลายตัว และได้ทำการขายออกไปแล้ว ได้แก่หุ้น AS BEAUTY BSRC CGD DDD DV8 GL IT NER PM PTL RML SAPPE SGP SPACK TKN TPOLY และ UKEM
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1186597