บล.เอเซียพลัส เปิดโผ 15 หุ้นเด่นรับสงครามการค้าปะทุอีกครั้ง
บล.เอเซียพลัส ประเมินสงครามการค้ายังคงลากยาวทำส่งออกไทยปีนี้ติดลบ 3% พร้อมแนะหุ้นเด่นรับช่วงสงครามการค้าปะทุอีกรอบ 15 ตัว ประกอบด้วย CPF, TFG, GFPT, WHA, AMATA, BR LH, KKP, DCC, MCS, INTUCH, BBL, SCCC, ADVANC และ EASTW
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กล่าวในหัวข้อเสนวนา”ลงทุนอย่างไร ภายใต้สงครามการค้าปะทุอีกครั้ง” จัดขึ้นโดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน หรือ IAA ว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้งหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับจีน 25% คิดเป็นมูลค่ากว่า 325,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยคาดว่าอาจจะมีการเริ่มเรียกเก็บครั้งแรกในวันที่ 1 ก.ย.นี้ ซึ่งจะส่งผลต่ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย
การที่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นครั้งแรก ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยโดนผลกระทบด้านลบ ซึ่งขระนั้นหุ้นไทยติดลบไปกว่า 21% แต่พอหลังจากครั้งแรกผ่านพ้น และมีการประกาศขึ้นภาษีสินค้าเพิ่มจากจีนอีกครั้งก็ทำให้ตลาดหุ้นไทยติดลบเช่นกัน แต่ลบเพียงแค่ 4-7% เท่านั้น และระยะเวลาที่หุ้นตกก็เป็นระยะเวลาที่สั้นกว่าการประกาศครั้งแรก
ขณะเดียวกัน จีนเองก็มีการเรียกเก็บภษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯด้วยเช่นกัน แต่มูลค่ายังไม่สามารถเทียบเท่ากับสหรัฐฯได้ โดยมองว่าการประกาศขึ้นภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีนรอบนี้คงไม่ใช่รอบสุดท้ายอย่างแน่นอน เพราะทั้งสหรัฐฯ และจีน ต่างมีหมัดเด้ดที่จะใช้เล่นงานกัน ถ้าเมื่อไรที่อาวุธยังไม่หมดสงครามการค้าก็ยังไม่จบลงด้วยเช่นกัน
ฉะนั้นหากวันที่ 1 ก.ย. ที่จะถึงนี้ สหรัฐฯ มีการเรียกเก็บภาษีสินค้าจากจีนเพิ่มจริง อาจจะกระทบกับตลาดหุ้นไทยบ้างแต่คงไม่มากนัก เนื่องจากตลาดเริ่มปรับตัวเกี่ยวกับปัจจัยดังกล่าวได้แล้ว
นอกจากเรื่องกำแพงภาษีที่สหรัฐฯ และจีนใช้โจมตีกันแล้ว ยังลามไปเป็นเรื่องของ Tech War ซึ่งเห็นได้จากกรณีที่สหรัฐฯ สั่งแบนด์ Huawei ค่ายมือถือชั้นนำของประเทศจีน ขณะที่จีนก็มีการตอบโต้ให้เห็นอยู่บ้างจากมาตรการลดค่าเงินหยวน และระงับการนำเข้าสินค้าทางการเกษตรจากสหรัฐฯ ล้วนแล้วแต่เป็นหมัดที่ใช้ออกอาวุธใส่กันหลังจากมีนโยบายประกาศขึ้นกำแพงภาษี
โดยหลังจากนี้มีการคาดกันว่า อาวุธชิ้นต่อไปที่สหรัฐฯ จะนำมาเล่นงานจีนคือเข้าไปสนับสนุนประเทศที่มีข้อพิพาทกับจีน ส่วนจีนเองก็อาจจะเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯทิ้ง ซึ่งจีนถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มูลค่า 1.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 17% ที่ต่างชาติถือ (สูงสุดเป็นอันดับ 1)
จากสถานการณ์สงครามการค้าที่ปะทุมาทั้งปีทำให้การส่งออกของประเทศไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 62 ติดลบ 2.9% ซึ่งประเมินว่าทั้งปีการส่งออกของไทยน่าจะติดลบอยู่ที่ระดับ 3% ซึ่งการลงทุนในช่วงสถานการณ์แบบนี้จึงขอแนะนำให้ลงทุนในหุ้นอุตสาหกรรมดังนี้
1.ภาคการส่งออก แนะนำ CPF, TFG, GFPT และ BR เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบจากถั่วเหลืองมีการปรับลดลง ล่าสุดราคาถั่วเหลืองปรับลดมาจุดต่ำสุดในรอบ 10 ปี ที่ 8.1 เหรียญสหรัฐฯ/บุชเซล สอดคล้องกับราคากากถั่วเหลืองราว 30% ของสัดส่วนวัตถุดิบอาหารสัตว์ ทำจุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี อยู่ที่ 287.3 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน
2.นิคมอุตสาหกรรม แนะนำ WHA และ AMATA เนื่องจากบริษัทที่ผลิตสินค้าในประเทศจีนจะมีต้นทุนที่สูงขึ้นมาก จึงมีโอกาสสูงที่จะพิจารณาหาฐานการผลิตใหม่ ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลัก ซึ่งมีศักยภาพสูง เช่นโครงการ EEC ในการรองรับฐานผลิต
นอกจากนี้ยังแนะนำหุ้นประเภท High Dividend Yield ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการคัดกรองเช่น Total Return ต้องมากกว่า 5%, Dividend Yield ต้องมากกว่า 3% ต่อปี, ในปี 61 ต้องเป็นหุ้นที่มีการจ่ายปันผลระหว่างกาล โดยเมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว จะได้หุ้นอีก 9 ตัวที่น่าลงทุนในช่วงนี้ประกอบด้วย LH, KKP, DCC, MCS, INTUCH, BBL, SCCC, ADVANC และ EASTW
ทั้งนี้ ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่แนะนำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงดังนี้
1.ปิโตร-น้ำมัน เนื่องจากถูกกดดันราคาน้ำมันดูไบที่ปรับลดลง 14% นับแต่ปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากความกังวลความต้องการบริโภคน้ำมันโลกที่อาจจะลดลงจากสหรัฐและจีน
2.ยานยนต์ เนื่องจากเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ราว 11.4% ของยอดส่งออกทั้งหมด แม้ปัจจุบันยังไม่เห็นผลกระทบต่อยอดส่งออกรถยนต์ แต่ยอดการส่งออกทั้งปีมีโอกาสต่ำกว่าทั้งปีที่คาดกันไว้ราว 1.15 ล้านคัน จากผลกระทบสงครามการค้า
3.อิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 2 ราว 7.9% ของยอดส่งออกรวม ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากแนวโน้มการส่งออกไปจีนที่ชะลอลง เห็นได้จากลูกค้าต่างประเทศที่ยังใช้สินค้าจากสต็อกเก่า นอกจากนี้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะทำให้เสียเปรียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่ส่งออกด้วยเช่นกัน
4.ท่องเที่ยว เนื่องจากเงินหยวนของจีนที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นราว 6% ตั้งแต่ช่วงต้นปี มีผลต่อการตัดสินใจเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนนับว่าเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยมากที่สุด
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก