จับตาจดหมายมรณะ เส้นตาย 9 กรกฎาคม ไทยทุ่มหมดหน้าตักหวังรอด 36% ขณะที่ชาติอื่นๆ ใกล้ปิดดีล
สวัสดีค่ะทุกคน เปิดสัปดาห์มาด้วย เรื่องร้อนๆ ที่กำลังสั่นสะเทือนแวดวงการค้าและการลงทุนทั่วโลกกันนะคะ นั่นคือเส้นตายวันที่ 9 กรกฎาคมที่สหรัฐอเมริกาขีดไว้สำหรับการเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับนานาประเทศค่ะ

สถานการณ์ตอนนี้เหมือนใกล้ถึงวันสอบใหญ่ที่นักเรียนทุกคนต้องวิ่งวุ่นส่งการบ้านโค้งสุดท้ายเลยค่ะ หลายชาติในเอเชียกำลังใช้ความพยายามทุกวิถีทาง ทั้งเจรจาต่อรองอย่างเข้มข้น และยื่นข้อเสนอใหม่ๆ เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ดีที่สุด หรืออย่างน้อยก็เพื่อยืดเวลาออกไปก่อน
สำหรับใครที่ไม่ทราบ... หัวใจของเรื่องนี้คือสิ่งที่เรียกว่า "ภาษีตอบโต้" (Reciprocal Tariffs) ซึ่งเป็นนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าต่างๆ พูดง่ายๆ คือ สหรัฐฯ รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบทางการค้ามานาน ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องตั้งกำแพงภาษีกับสินค้านำเข้าจากประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าในอัตราที่สูงขึ้น
ย้อนกลับไปเมื่อต้นเดือนเมษายน การใช้มาตรการนี้ครั้งแรกได้สร้างความหวั่นวิตกว่าอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ และทำให้ตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนัก จนทำเนียบขาวต้องยอมระงับอัตราภาษีไว้ที่ 10% เป็นการชั่วคราว 90 วัน ซึ่งกำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้แล้วค่ะ
ท่าทีของสหรัฐฯ ในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ก็น่าสนใจมากค่ะ เพราะมีทั้งความแข็งกร้าวและยืดหยุ่นในเวลาเดียวกัน โดยทางด้านประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวด้วยตัวเองว่าได้ "ลงนามในจดหมายบางฉบับแล้ว และจะเริ่มส่งออกไปในวันจันทร์ ประมาณ 12 ฉบับ" โดยเนื้อหาในจดหมายแต่ละฉบับจะแตกต่างกันไปทั้ง "จำนวนเงินและอัตราภาษี"
ขณะเดียวกัน นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ซึ่งให้สัมภาษณ์ในรายการ "State of the Union" ของ CNN ก็แย้มว่า บางประเทศที่ยังเจรจาไม่ลงตัวอาจได้รับโอกาสให้ขยายเวลาต่อไปอีก 3 สัปดาห์
โดยเขาเปรียบเปรยว่าสถานการณ์ตอนนี้เหมือน "รถติดอย่างหนักในช่วงเร่งด่วนสุดท้าย" (Congestion going into the home stretch) เพราะมีการเจรจาเกิดขึ้นพร้อมกันหลายราย ซึ่งการขู่ว่าจะกลับไปใช้อัตราภาษีที่สูงเหมือนตอนเดือนเมษายน ก็เป็นแรงกดดันให้ทุกฝ่ายต้องเร่งหาข้อสรุปกัน โดยภาษีใหม่นี้ (ที่ส่งจดหมายมา) จะมีผลบังคับใช้จริงในวันที่ 1 สิงหาคมค่ะ

ไทยเราเดิมพันครั้งใหญ่ ยื่นข้อเสนอสู้ศึกภาษี
สำหรับประเทศไทยเราเอง เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่และส่งผลกระทบโดยตรงอย่างมากค่ะ เพราะเราเป็นหนึ่งในประเทศที่สหรัฐฯ ขู่จะขึ้นภาษีในอัตราที่สูงถึง 36% ซึ่งอาจฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของเราให้หายไปได้ถึง 1% เลยทีเดียว
ล่าสุด ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิชัย ชุณหวชิร ได้เปิดเผยหลังการหารือระดับรัฐมนตรีครั้งแรกกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ว่า ประเทศไทยได้ยื่นข้อเสนอใหม่ให้กับสหรัฐฯ ในโค้งสุดท้ายนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดตัวเลขเกินดุลการค้าที่ไทยมีต่อสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 46,000 ล้านดอลลาร์ ให้ลดลงถึง 70% ภายใน 5 ปี และทำให้สมดุลภายใน 7-8 ปี ซึ่งถือเป็นข้อเสนอที่รวดเร็วกว่าแผนเดิม
ข้อเสนอของไทยเรามีอะไรบ้าง? หลักๆ เลยคือการเปิดตลาดให้สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ มากขึ้น รวมถึงการเพิ่มการสั่งซื้อสินค้าสำคัญอย่างพลังงาน โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากโครงการในอลาสกา ซึ่งบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อาจลงนามซื้อถึงปีละ 2 ล้านตันในระยะเวลา 20 ปี และบริษัทในกลุ่มปิโตรเคมีอย่าง SCG Chemicals และ PTT Global Chemical ก็พร้อมนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการสั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้งจำนวนมากถึง 80 ลำในอนาคตโดยการบินไทย ท่านรัฐมนตรีพิชัยกล่าวว่า ข้อเสนอนี้เป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย
แน่นอนว่าเราก็หวังจะได้อัตราภาษีที่ดีที่สุดคือ 10% แต่ท่านรัฐมนตรีก็มองว่าอัตราในช่วง 10% ถึง 20% ก็ยังเป็นที่ยอมรับได้ แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือการได้ข้อตกลงที่แย่กว่าประเทศเพื่อนบ้านของเราค่ะ
การได้ข้อตกลงที่ดีครั้งนี้ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งกำลังจับตาสถานการณ์การเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ท่านนายกฯ แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวด้วยค่ะ
นานาชาติในเอเชียกับการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ
ทีนี้มาดูทางฝั่งประเทศอื่นๆ ในเอเชียกันบ้างค่ะ แต่ละประเทศก็มีท่าทีและกลยุทธ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
เวียดนาม ถือเป็นประเทศที่เคลื่อนไหวได้เร็วและปิดดีลไปแล้ว โดยยอมรับอัตราภาษีที่ 20% สำหรับสินค้าส่งออกทั่วไป และ 40% สำหรับสินค้าที่สหรัฐฯ มองว่าเป็นการสวมรอยส่งออกจากประเทศอื่นเพื่อเลี่ยงภาษี
นอกจากนี้เอง ผลจากการเร่งส่งออกสินค้าของผู้ซื้อต่างชาติเพื่อหนีภาษี ทำให้ตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ของเวียดนามพุ่งสูงถึง 7.96% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้มากค่ะ
อย่างไรก็ตาม แม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะประกาศข้อตกลงไปแล้ว แต่กระทรวงการต่างประเทศของเวียดนามก็ระบุว่ายังคงต้องประสานงานในรายละเอียดขั้นสุดท้ายกับฝั่งสหรัฐฯ ต่อไป
ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่และพยายามหลีกเลี่ยงภาษีรถยนต์มาโดยตลอด แสดงท่าที "พร้อมรับทุกสถานการณ์" นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ประกาศกร้าวว่าจะ "ยืนหยัดอย่างมั่นคง" เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ขณะที่นายเรียวเซ อาคาซาวะ หัวหน้าผู้แทนเจรจา ก็ได้หารือทางโทรศัพท์กับนายโฮเวิร์ด ลุตนิค รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ถึงสองครั้ง แสดงให้เห็นถึงการเจรจาที่เข้มข้นในระดับสูงสุด
อินเดีย สถานการณ์ดูจะซับซ้อนขึ้นเล็กน้อยค่ะ มีรายงานว่าอินเดียอาจบรรลุ "ข้อตกลงย่อย" ได้ในเร็วๆ นี้ แต่ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ในกรุงนิวเดลีก็แสดงท่าทีแข็งกร้าวขึ้น โดยขู่ว่าจะใช้มาตรการภาษีตอบโต้กับสินค้าบางอย่างของสหรัฐฯ หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนของอินเดียจริง
เกาหลีใต้ ก็มีความกังวลเรื่องภาษีรถยนต์เช่นกัน และกำลังพยายามเจรจาในโค้งสุดท้ายเพื่อขอ "ขยายเวลา" เส้นตายออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงอัตราภาษีที่สูงขึ้น
ส่วนประเทศอื่นๆ ก็มีความคืบหน้าเช่นกัน อินโดนีเซีย แสดงความมั่นใจว่าใกล้จะบรรลุ "ข้อตกลงที่กล้าได้กล้าเสีย" (bold trade deal) ซึ่งครอบคลุมความร่วมมือหลากหลายมิติ ตั้งแต่แร่ธาตุสำคัญ พลังงาน ไปจนถึงความมั่นคงและการเปิดตลาด
ส่วน กัมพูชา ซึ่งเป็นผู้ส่งออกสิ่งทอและรองเท้ารายใหญ่ไปยังสหรัฐฯ และเคยเผชิญกับภัยคุกคามทางภาษีที่สูงที่สุดชาติหนึ่งถึง 49% ก็สามารถตกลงใน "กรอบข้อตกลง" เบื้องต้นกับสหรัฐฯ ได้สำเร็จ ถือเป็นข่าวดีอย่างยิ่งสำหรับพวกเขาค่ะ
ตลาดการเงินโลกจับตาอย่างใกล้ชิด
สถานการณ์ที่ไม่แน่นอนนี้ส่งผลโดยตรงต่อตลาดการเงินทั่วโลกค่ะ ตลาดหุ้นเอเชียเริ่มต้นสัปดาห์อย่างระมัดระวัง เพราะนักลงทุนต่างกังวลถึง "โครงข่ายภาษีที่ซับซ้อน" ที่ผู้นำเข้าอเมริกันต้องจ่าย และความเป็นไปได้ที่จะเกิดการตอบโต้ทางการค้าจากเขตเศรษฐกิจใหญ่อย่างสหภาพยุโรป
นักวิเคราะห์อย่าง โทนี่ ซีคามอร์ จาก IG มองว่า หากอัตราภาษีสุดท้ายอยู่ที่ 10-15% ตลาดน่าจะพอใจ แต่ถ้าสูงเกิน 20% ขึ้นไป รับรองว่าจะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลาดอย่างแน่นอน
นอกเหนือจากเรื่องภาษีแล้ว ราคาน้ำมันดิบก็ปรับตัวลดลงเกือบ 2% มาอยู่ที่ 65.96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากกลุ่มโอเปกพลัสประกาศว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีก 548,000 บาร์เรลต่อวัน เพื่อฉวยโอกาสจากความต้องการที่สูงในฤดูร้อนและชิงส่วนแบ่งตลาดคืน
โดยนักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินใหญ่อย่าง JPMorgan และ Goldman Sachs คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันอาจลดลงไปใกล้ระดับ 60 ดอลลาร์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เลยทีเดียว
สถานการณ์ทั้งหมดนี้ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็วมากค่ะ โลกการค้ากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อครั้งสำคัญ เราคงต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิดว่ามหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ จะตัดสินใจอย่างไร และแต่ละประเทศในเอเชียรวมถึงประเทศไทยของเรา จะงัดกลยุทธ์ไหนมาใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองให้ได้มากที่สุดค่ะ
สรุปและความเห็นส่วนตัว
ตอนนี้ก็ต้องไปตามลุ้นกันนะคะ โดยเฉพาะของไทยเรา ไม่งั้นละชิปหายแน่นอนค่ะ ได้ดีลเท่าเวียดนามยังไม่พอนะคะ เราต้องได้ดีลดีกว่าเค้า ซึ่งถือเป็นงานช้างอยู่
ที่อื่นๆ ที่ต้องลุ้น และไม่ได้เอ่ยถึงในข่าวคือ สหภาพยุโรปค่ะ ซึ่งไม่ได้มีความคืบหน้าเพิ่มเติมออกมาในช่วงสุดสัปดาห์ เลยไม่รู้ว่าจะออกมาแบบไหน โดยล่าสุดที่เราพอทราบคือ ยุโรป ยอมรับอัตราภาษีที่ 10% ได้แล้ว แลกกับข้อตกลงบางส่วนค่ะ ก็น่าจะใกล้แล้วเหมือนกันนะ (เดาล้วนๆ)
ส่วนเรื่องจดหมายที่จะได้รับภายในวันที่ 9 นี้ ก็ยังไม่ต้องตกใจมากค่ะ เพราะต่อให้โดนแจ้งอัตราภาษีใหม่ แต่ผลบังคับใช้จะเริ่มในวันที่ 1 สิงหาคมค่ะ ซึ่งนั่นเท่ากับว่าทรัมป์แอบต่อเวลาให้อีก 3 สัปดาห์นั่นเองค่ะ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ คงโฟกัสไปที่ดีลของประเทศหลักๆ มากกว่า ถ้ามีออกมาบ้าง ตลาดคงไม่ได้ตกใจอะไร
ส่วนตลาดหุ้นของประเทศอื่นๆ คงสนใจว่าตัวเองมีดีลหรือไม่ ถ้ามีออกมาทัน ตลาดหุ้นก็ไม่ร่วง แต่ถ้าทรงไม่ดี ก็เข้าสถานการณ์ตัวใครตัวมันค่ะ
คนที่ลอยลำไปแล้ว คือ UK เวียดนาม และจีน ค่ะ
เนื้อหาที่มาจาก.. เพจ Beauty Investor