เปิดกลยุทธ์ลงทุนอย่างไร เมื่อหุ้นกลางหุ้นเล็กกำลังครองเมือง
Covid-19 ไม่เพียงแต่ทำให้เราต้องปรับการใช้ชีวิตใหม่เท่านั้น ในด้านการลงทุนเองเราก็เจอภาวะหลายๆ แบบในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา หนึ่งในสัญญาณนั้นคือ การปรับขึ้นอย่างร้อนแรงของหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะปัจจัยอะไร และนักลงทุนควรจะรับมืออย่างไรสำหรับภาวะตลาดหุ้นระยะยาว หรืออย่างน้อยก็ในช่วงครึ่งปีหลัง Wealthy Thai ได้รวบรวมความคิดเห็นจากนักวิเคราะห์สำนักต่างๆ มาฝากกัน
“กิจพล ไพรไพศาลกิจ” ผู้อำนวยการและนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ว่า หุ้นขนาดกลางขนาดเล็ก ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน (YTD) ปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งถ้าถามว่าเป็นเพราะอะไร? เป็นเพราะการปรับประมาณการกำไรลงของบริษัทจดทะเบียน และยังไม่เห็นสัญญาณของการปรับขึ้น เพราฉะนั้นในลักษณะนี้นั้นแปลว่า นักลงทุนหลีกเลี่ยงหุ้นขนาดใหญ่ในช่วงสั้นๆ เพราะหุ้นเหล่านั้นเป็นเป้าหมายการปรับลดประมาณการ
“ตราบใดที่ประมาณการกำไรหุ้นขนาดใหญ่ยังไม่ปรับเพิ่มขึ้น มีโอกาสที่หุ้นขนาดกลางและเล็กยังคงเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาด แต่เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่ประมาณการกำไรเริ่มเจอ Bottom คือปรับลงจนกระทั่งถึงที่สุดแล้ว และเริ่มเห็นสัญญาณบวกของการฟื้นตัว ทำให้เกิดการปรับประมาณการกำไรขึ้น ถึงจุดนั้นคิดว่าหุ้นขนาดใหญ่ จะเริ่มโดดเด่นขึ้นมา”
สัญญาณการกลับมาของหุ้นใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงไหน?
นายกิจพลอธิบายเพิ่มเติมว่า การปรับประมาณการกำไรของหุ้นใหญ่ คาดว่าจะเริ่มกลับมาในช่วงปลายไตรมาส 3 ที่อาจจะเห็นประมาณการกำไรถึงจุดต่ำสุด และกำลังจะปรับดีขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาว่าหุ้นขนาดใหญ่เริ่มมีผลงานที่ดีขึ้น
1,300 จุด พื้นที่เก็งกำไร !!
นายกิจพลกล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นระดับ 1,300 จุด เป็นพื้นที่ของการเก็งกำไร ซึ่งนักลงทุนสามารถเก็งกำไรได้เป็นรายตัว อาจจะรอจังหวะเข้าสะสม แต่ความยากคือ ในสภาวะที่สภาพคล่องที่สูง ไม่สามารถเดาได้ หรืออาจจะเกิดภาพว่าการปรับฐานรอบใหม่ในช่วงไตรมาส 2-3 อาจจะไม่ลึกมาก จึงยังไม่เห็นจุดซื้อ แต่แนะนำนักลงทุนให้ใช้กลยุทธ์ในการ “พบกันครึ่งทาง” คือ ยังคงมีการลงทุนอยู่ แต่ไม่ได้อยู่ในระดับที่เสี่ยงจนเกินไป ไม่เน้นหุ้นที่ต้องรอผลประกอบการฟื้นตัวจาก Covid-19 มากเกินไป ให้โฟกัสไปยังกลุ่มที่มีผลประกอบการมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นหุ้นกลุ่มสื่อสาร หุ้นโรงไฟฟ้า พลังงานทดแทน ที่ซื้อขายที่ PE ที่ไม่สูงนัก และมีการจ่ายปันผลที่ระดับ 4% ขึ้นไป
หรืออาจจะเลือกเป็นหุ้นรายตัวที่มีสัญญาณทิศทางกำไรที่บวกในปีนี้ เช่น CPF เนื่องจากหุ้นกลุ่มอาหารมีสัญญาณบวกในปีนี้ EASTW, WHAUP หุ้นสาธารณูปโภคที่ได้รับผลกระทบครึ่งปีแรกจากภัยแล้ง แต่ครึ่งปีหลังปริมาณน้ำที่จะกลับมาเพิ่มขึ้น ทำให้การเดินเครื่องผลิตในครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก ทำให้หุ้นกลุ่มนี้มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนดีกับนักลงทุน
ส่องสัญญาณผิดปกติในตลาดหุ้น อะไรทำให้หุ้นไทยแพงเกิน
ด้านนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส นักกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ว่า การปรับขึ้นในระดับนี้ เทียบกับการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้ ต้องบอกว่า ราคาหุ้นถือว่าแพง เราเทรดกันอยู่ในระดับเหนือค่าเฉลี่ยปกติถึง 2SD แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องตระหนักคือ การแพงที่เกิดขึ้น มันเกิดจากภาวะที่ผิดปกติ
“ราคาหุ้นในตอนนี้ถ้าเทียบกับกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ ก็ต้องบอกว่าตลาดหุ้นตอนนี้แพงมาก แต่ปีที่จะเกิดวิกฤติแบบนี้นั้นนานๆมาทีหนึ่ง หรือเกิดขึ้นในรอบ 10 ปี ดังนั้นเมื่อเราผ่านวิกฤติและกลับไปปกติ ก็จะถือว่าราคาหุ้นในระดับตอนนี้ไม่ได้แพงมากนัก”
ส่วนความเคลื่อนไหวของนักลงทุนสถาบันที่เข้าซื้อหุ้นจำนวนมากนั้น ตามปกตินักลงทุนสถาบันจะต้องลงทุนตามค่าเฉลี่ยซึ่งหากราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็ต้องมารลงทุนเพื่อให้ผลตอบแทนของพอร์ตลงทุนชนะดัชนี ดังนั้นจึงเห็นการเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้การปรับตัวเพิ่มขึ้นในรอบนี้ แน่นอนว่าที่หุ้นขึ้นแบบร้อนแรงยาวนานจะเผชิญกับความเสี่ยงที่จะปรับฐานแน่นอน แต่เสน่ห์ของการปรับฐานในรอบนี้ เราพบว่า ทุกครั้งที่หุ้นร่วงลงไป เป็นการร่วงเพื่อขึ้นต่อ ดังนั้นการลงทุนอาจจะต้องดูจังหวะการย่อยตัว โดยกลุ่มที่น่าสนใจคือ กลุ่มโรงกลั่นอย่าง SPRC TOP PTTGC หรือ หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีความแข็งแรง SPALI
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก