โบรกฯ จับตาหุ้นกลุ่ม FOOD พร้อมรับอานิสงส์ วิกฤตขาดแคลนอาหาร

ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหากับสินค้าราคาแพง จากเงินเฟ้อพุ่งสูง ที่เป็นผลพวงจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาเป็นเวลานาน รวมถึงสถานการณ์สงครามยูเครน และรัสเซียที่ยืดเยื้อ ขณะที่หลายประเทศเริ่มเผชิญกับปัญหาด้านอาหารไม่เพียงพอ จนต้องชะลอการส่งออกวัตถุดิบอาหารชั่วคราว จนราคาอาหารทั่วโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้น
.
อย่างไรก็ตามภายใต้ราคาสินค้าอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น แม้จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภค แต่ในแง่ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายทางนักวิเคราะห์มองว่า จะเป็นผลดีต่อผลประกอบการในอนาคต โดยสำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย ได้รวบรวมมุมมองของนักวเคราะห์ชั้นนำของไทย ต่อทิศทางราคาสินค้าอาหารว่าจะเป็นอย่างไร และส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มใดบ้าง
.
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส ประเมินว่า ปัญหาโลกที่เผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ จากการฟื้นของเศรษฐกิจหลังเกิดโควิดนาน สงครามการค้ายูเครน-รัสเซีย ที่ยืดเยื้อ แต่ในมุมกลับกันยังมีกลุ่มหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ โดยราคาไก่ ปรับเพิ่มขึ้น 2.4% จากสัปดาห์ก่อน ถือว่าระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี ล่าสุดมาเลเซียประกาศจะระงับการส่งออกไก่ 3.6 ล้านตัว/เดือน ตั้งแต่ 1 มิ.ย. 65 หรือคิดเป็นปริมาณ 6.3 หมื่นตัน ในปี 65 คิดเป็น 10% ของปริมาณการส่งออกไก่ เพื่อป้องกันปัญหาขาดแคลนและราคาไก่ในมาเลเซียที่ปรับสูงขึ้น ถือเป็นผลบวกต่อผู้ประกอบการไทย
.
ขณะที่ราคาสุกรหน้าฟาร์มก็ปรับเพิ่มขึ้น จากปัญหาขาดแคลนสุกร ด้านราคาวัตถุดิบกากถั่วเหลืองโลกล่าสุดที่ 423.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ทรงตัวจากสัปดาห์ก่อน แต่ก็ลดลง หลังจากปรับสูงขึ้นก่อนหน้า ถือเป็นผลบวกต่อผู้ประกอบการฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่จะมีต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดลง ด้านราคาน้ำมันปาล์มดิบโลกเพิ่มขึ้น จากความกังวลภัยแล้ง ทำให้แนวโน้มผลผลิตปาล์มออกสู่ตลาดลดลง โดยก่อนหน้านี้อินโดนีเซียประกาศระงับส่งออกน้ำมันปาล์มชั่วคราวตั้งแต่ 28 เม.ย. 65 แต่ก็ได้ยกเลิกประกาศแล้วตั้งแต่ 23 พ.ค. 65
.
ส่วนราคาน้ำตาลดิบโลกล่าสุด เพิ่มขึ้น 5.7% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ล่าสุดอินเดีย (ผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก) ประกาศจำกัดส่งออกน้ำตาลไม่เกิน 10 ล้านตัน จนถึง ต.ค.65 ฝ่ายวิจัยประเมินว่าประเด็นนี้อาจไม่ส่งผลต่อราคาน้ำตาลโลก เพราะอินเดียส่งออกน้ำมันไม่เกิน 10 ล้านตันต่อปี แต่เป็นประเด็นที่ต้องติดตามว่าจะมีประเทศอื่นจำกัดการส่งออกน้ำตาลหรือไม่ เช่น บราซิลที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลทรายรายใหญ่ของโลก
.
ด้านบล. หยวนต้า มีมุมมองว่า แนวโน้มกลุ่มอาหารในไตรมาส 2/65 โดยมองว่า กลุ่มฟาร์มสัตว์บก โดยเฉพาะทั้งหมู และไก่ จะเติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันของไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งจากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัว และราคาหมู/ไก่ฟื้นตัวเด่น โดยเฉพาะไก่ แม้ว่าต้นทุนขายจะปรับเพิ่มขึ้น แต่น้อยกว่าราคาเนื้อไก่ รวมถึงได้ประโยชน์จากการส่งออกไก่ หลังจากล่าสุดมาเลเซียประกาศระงับการส่งออกไก่
.
โดยเห็นว่า GFPT จะได้ประโยชน์ และเลือกเป็น TOP PICK โดยมองว่ากำไรในไตรมาส 2/65 จะเติบโตดี และเป็นจุดพีคสุดในไตรมาส 3/65 รวมถึงกำไรปี 65 มีแนวโน้มเติบโตเด่นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานที่ต่ำในปีก่อน แม้ในภาวะต้นทุนที่สูงขึ้นก็ตาม โดยราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 24.4% โดยปรับคำแนะนำขึ้นจาก Trading เป็น ซื้อ
.
บล.โนมูระ พัฒนสิน มองว่า กรณีข้าวสาลีปรับเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ประเมินมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากต้นทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากข้าวสาลีเป็นต้นทุนแป้งสาลีที่เป็นวัตถุดิบสำหรับอาหารสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์น้ำ 15% ของต้นทุน ส่วนสัตว์บกต่ำกว่าราว 5% ของต้นทุน และบางครั้งต่ำกว่าเนื่องจากเป็นวัตถดิบที่ใช้แทนข้าวโพดต้นทุนหลัก และหุ้นที่วัตถุดิบผลิตมาจากข้าวสาลี เช่น บะหมี่สำเร็จรูป ขนมปัง ผลิตภัณฑ์ Coating อาหาร ขนม โดยหุ้นที่เข้าข่ายกระทบจากกรณีดังกล่าว เช่น TFM,RBF,PB,RBF,TFMAMA,SNNP,NSL
.
สำหรับระยะสั้นควรหลีกเลี่ยงหุ้นดังกล่าว ส่วน GFPT, CPF, ASIAN และ TU คาดกระทบ Sentiment มองเป็นโอกาสลงทุน GFPT, ASIAN, CPF หากหุ้นปรับตัวลงรับความกังวล
