หุ้นไทยเดือนมีนาฯราศีจับ
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส มีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเดือนมีนาคม 2564 จาก 3 ปัจจัยหนุนดังนี้ ปัจจัยแรก จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดลง และวัคซีนกระจายตัวในวงกว้าง ปัจจัยที่ 2 เศรษฐกิจเริ่มสัญญาณการฟื้นตัวกลับอีกครั้ง หลังชะลอช่วงเดือนม.ค.-ก.พ.2564 และปัจจัยที่ 3 มีโอกาสเกิด Upside ทั้งประมาณการเศรษฐกิจ และกำไรบริษัทจดทะเบียน
กลยุทธ์การลงทุน
สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกมีแนวโน้มดีขึ้น อย่างต่อเนื่องโดยพิจารณาค่าเฉลี่ยยอดผู้ติดเชื้อ รายใหม่ทั่วโลก ปัจจุบันเดือน ก.พ.2564 มีจำนวน 4.09 แสนราย ลดลงเมื่อเทียบกับ 6.30 แสนรายในเดือน ม.ค.2564 รวมถึงไทยควบคุมได้ดี เช่นกัน
อีกทั้ง ปัจจุบันเริ่มเห็นความคืบหน้าของวัคซีนมากขึ้น ในฝั่งเอเซีย สะท้อนจากช่วงกลางเดือน ก.พ.2564 ที่ผ่านมา หลายประเทศในเอเชียเริ่มเดินหน้าฉีดวัคซีนกันมากขึ้น เช่น ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, ฮ่องกง และไทย ที่วัคซีนชุดแรกเริ่มต้นฉีดช่วงปลายเดือนก.พ. หรือต้น มี.ค.2564 และตั้งเป้าว่าในปี 2564 จะฉีดวัคซีนฟรีให้ประชาชนไม่น้อยกว่า 63 ล้านโดส หนุนเศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัวกลับอีกครั้ง บวกกับยังมีแรงขับเคลื่อนจากหลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐที่อัดฉีดเม็ดเงินก้อนใหญ่เข้ามาในช่วงเดือน มี.ค.
3 ปัจจัยหนุนเงินนอกไหลเข้า
แนวโน้มฟันด์โฟลว์ในเดือนมี.ค.ยังมีหลายปัจจัยหนุนให้ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย คือ 1) สภาพคล่องส่วนเกินที่ล้นระบบ สังเกตได้จากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยตั้ง แต่ต้นปีที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และยอดการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยฯ 2) Bond Yield ของไทยที่ขยับขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ จนล่าสุดอยู่ที่ 1.62% แสดงให้เห็นถึงเม็ดเงินเริ่มไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัย และมีโอกาสไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงในระยะถัดไป และ 3) การฉีดวัคซีนที่กระจายตัวมากขึ้นต่อจากนี้ บวกกับตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ เมื่อวัดจากจุดสูงสุดก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 ทำให้ต่างชาติมีโอกาสกลับมาสนใจหุ้นไทยมากขึ้น
กำไรบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาสที่ 4 ปี 2563 มีโอกาสปรับลดลงค่อนข้างจำกัด จากการรับมือการระบาดของโควิด-19 รอบ 2 ได้ดีกว่าที่คาด รวมถึงน่าจะเห็นการเติบโตก้าวกระโดดในงวดไตรมาสที่ 1/64 จากฐานที่ต่ำในปีก่อนหน้า หนุนกำไรทั้งปี 2564 ยังมีโอกาสฟื้นตัวมากกว่า 30% (สูงเป็นลำดับต้นๆในภูมิภาค) ขณะที่การตีมูลค่า (Valuation) ของตลาด ณ ปัจจุบันมี Market Earning Yield Cap สูงถึง 3.9% ถือเป็นระดับที่น่าสนใจในการเข้าสะสมหุ้น โดยฝ่ายวิจัยบล.เอเซีย พลัส ยังคงประเมินเป้าหมายดัชนีปี 2564 ไว้ที่ 1,646 จุด
จากเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว อีกทั้งมีหลายปัจจัยที่คอยสนับสนุนให้กระแสเงิน(ฟันด์โฟลว์) ต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องในระยะกลาง-ยาว ดังนั้นบล.เอเซีย พลัส คงน้ำหนักหุ้นไทยไว้ที่ 40% (มากกว่าตลาดฯ) กลยุทธ์เลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งที่ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ อาทิ PTT CPN MINT SPVI และหุ้นปันผลสูงอย่าง MCS SPALI ส่วนหุ้น Overvalue ที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน คือ DELTA และ OR
การลงทุนต่างประเทศ
สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องทั่วโลกบวกกับวัคซีนที่มีการกระจายตัวในหลายประเทศ จนเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจชัดขึ้น โดยฝ่ายวิจัยบล.เอเซีย พลัส แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 5% เป็น 25% ของพอร์ตการลงทุน (Neutral) กลยุทธ์เน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว และธุรกิจยังเติบโตต่อเนื่องในปี 2565 อย่าง Blackrock Inc (BLK US) และ Walt Disney Co/The (DIS US)
ตราสารหนี้
จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ลดลง และการเดินหน้าฉีดวัคซีนของทั่วโลก กดดันให้ฟันด์โฟลว์เริ่มไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยสะท้อนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร(Bond Yield)โลกปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำจุดสูงสุดในรอบหลายเดือน ดังนั้นจึงลดน้ำหนักตราสารหนี้เหลือ 15% ของพอร์ตรวม เน้นตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือ (Duration) เฉลี่ยไม่เกิน 3 ปี และมีอันดับความน่าเชื่อถือ(เรทติ้ง) ที่ระดับ Investment Grade ขึ้นไป โดยหุ้นกู้ที่โดดเด่น คือ CPNREIT232A และ CPALL256A
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก