เจาะลึก! 5 หุ้นสุดฮอต
รับอากาศร้อน...ปรอทแตก!

.
ตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค. เป็นต้นไป กรมอุตุฯ คาดว่าหลายพื้นที่ในไทยจะร้อนระอุ โดยอุณหภูมิอาจปรับตัวสูงกว่า 40 องศา ทำให้ตลาดจะหันมาเน้นหุ้นในกลุ่ม Summer Plays ที่มีโอกาสได้ประโยชน์มากขึ้น ช่วยหนุนรายได้และกำไรในช่วงฤดูร้อนให้กับหุ้นเครื่องดื่มต่างๆ
.
โดยนักวิเคราะห์จากบล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นคาดจะช่วยหนุนจิตวิทยาเชิงบวกต่อการลงทุนหุ้นกลุ่ม Summer Plays ที่ได้ประโยชน์สภาวะอากาศที่ร้อน จากการรวบรวมข้อมูล พบว่า ในปีนี้ประเทศไทยมีความเสี่ยงเผชิญ “สภาวะเอลนีโญ” คือ ฝนตกน้อย แห้งแล้ง และความร้อนที่มากกว่าปกติ พลิกจากเดิมที่ไทยอยู่ในสภาวะ ลานีญามานาน 3 ปี เชื่อว่ามีโอกาสลุ้น Upside ที่ได้รับมากกว่าปีปกติ
.
อีกทั้งอิงสถิติช่วงฤดูร้อนย้อนหลัง 5 ปี พบว่า หุ้นในกลุ่ม Summer Plays มักจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดราว 2-6% เสมอ สำหรับกลยุทธ์กำหนดซื้อหุ้นวันที่เข้าสู่ฤดูร้อนและขายทำกำไรหลังจากนั้นภายในระยะเวลา 1, 2 และ 3 เดือน ตามลำดับ โดยหุ้นที่ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าจะได้ประโยชน์ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่ม, ร้านอาหาร, ค้าปลีก+ห้าง และก่อสร้าง เช่น OSP, ICHI, SAPPE, CPALL, CPN
.
สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานของ OSP นักวิเคราะห์จากบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า คาดบริษัทผ่านช่วงที่ปัจจัยรุมล้อมมากที่สุดไปแล้ว โดยประเมินแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/66 ฟื้นตัวจากไตรมาส 4/65 จากการทยอยเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งช่วยหนุนรายได้ ในขณะที่ต้นทุนที่ปรับตัวลงเร็วกว่าคาด ช่วยหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) กลับมายืนเหนือ 30% ได้อีกครั้ง
.
ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าการปรับขึ้นราคาขายของกระทิงแดงที่เริ่มตั้งแต่ 1 มี.ค. 66 จะช่วยให้ตลาดสินค้าราคามากกว่า 12 บาทต่อขวด มีสัดส่วนมากกว่า 50% ได้ในช่วงกลางปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 47.5% คาดจะทำให้ GPM ของ OSP ปรับขึ้นในเด่นในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 และควรกลับสู่ระดับปกติที่ 35 – 36% ในปี 2567 ส่งผลให้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับขึ้นกำไรสุทธิปี 2566 – 2567 เป็น 2,977 ล้านบาท โต 53.9% และ 3,936 ล้านบาท โต 32.2% ตามลำดับ โดยยังคงคำแนะนำ ซื้อ พร้อมปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 36 บาท
ถัดมา ICHI นักวิเคราะห์จากบล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า ปีนี้บริษัทยังมีการเติบโตต่อเนื่องทั้งจากรายได้และอัตรากำไรที่ดีขึ้น คาดปี 2566 กำไรที่ 723 ล้านบาท โต 13% จากปีก่อน ซึ่งหากทำได้ตามเป้าบริษัทยังมี Upside risk จากเป้าหมายรายได้ที่บริษัทกำหนด 15% (ฝ่ายวิเคราะห์คาด 10%) จากตลาดชายังคงเติบโต และสินค้าใหม่ รวมถึงงาน OEM และ Gross margin ที่จะฟื้นเร็วกว่าคาด ตั้งเป้าไม่ต่ำกว่า 20% (ฝ่ายวิเคราะห์คาด 18.8%) ซึ่งสูงสุดในรอบ 6 ปี
.
ระยะสั้นคาดกำไรครึ่งแรกของปี 2566 เข้า High season ประเมินไตรมาส 1/66 และ 2/66 จะปรับขึ้นทั้งจากไตรมาสก่อนหน้าและไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เบื้องต้นคาดกำไรไตรมาส 1/66 จะอยู่ที่ราว 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน และ 4% จากไตรมาสก่อนหน้า และราคาหุ้นมีเงินปันผล 0.6 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่ 4.7% ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 5 พ.ค. 66 ช่วยจำกัด Downside ให้แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 15.60 บาท โดยหุ้นซื้อขายบน PER ปี 2566 ที่ 23 เท่า ยังต่ำกว่ากลุ่มซึ่งอยู่ที่ราว 25-30 เท่า
.
SAPPE นักวิเคราะห์จากบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ประเมินปี 2566 กำไรทุกไตรมาสจะเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และจะเป็นการไต่ระดับขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 1/66 เป็นต้นไป โดยปัจจัยหลักที่ผลักดันการเติบโตของกําไรคือ
.
1.ยอดขายตลาดในประเทศและต่างประเทศ คาดจะเติบโตขึ้นตามแผนการออกสินค้าใหม่ ซึ่งในประเทศได้เริ่มมีการวางจําหน่ายสินค้าตัวใหม่ไปแล้วตั้งแต่เดือนก.พ. 66 และจะมีการออกสินค้าใหม่เพิ่มอีก 2- 5 อย่าง ในเดือนมี.ค. นี้ สําหรับตลาดต่างประเทศเชื่อว่ายังมีช่องว่างให้เติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะยุโรปที่เป็นตลาดขนาดใหญ่และมีกําลังซื้อสูง
.
2.ต้นทุนโดยเฉพาะในส่วนของบรรจุภัณฑ์ซึ่งมีสัดส่วน 45% ของต้นทุนรวมมีแนวโน้มลดลง หลังราคาเม็ดพลาสติกที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตขวดเริ่มมีแนวโน้มชะลอลงมาอยู่ในระดับต่ำ ตามราคาน้ำมันที่ลดลง และ 3. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย ที่จะลดลงตามค่าขนส่งที่ได้ปรับลดลงมาจากปีก่อนมากแล้ว ขณะที่ฐานรายได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ปรับประมาณการกําไรปี 2566 ขึ้นเป็น 852 ล้านบาท โต 30% โดยคงคําแนะนํา ซื้อ และปรับราคาเป้าหมายเป็น 65.00 บาท
.
CPALL นักวิเคราะห์จากบล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุว่า ยังคงประมาณการเดิมที่คาดว่ากำไรปีนี้จะเพิ่มขึ้น 32% เป็น 17,536 ล้านบาท จากการเติบโตดีขึ้นของทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ คือ ร้านเซเว่นฯ แม็คโคร และโลตัส โดยได้ผลบวกจากการบริโภคฟื้นตัว การเลือกตั้ง และนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
.
อีกทั้งธุรกิจร้านเซเว่นฯ ได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นราคาขายเป็นเวลาเต็มปีหลังจากทยอยปรับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทยังตั้งเป้าเปิดร้านเซเว่นฯ 700 สาขาในปีนี้ ขณะที่แม็คโครและโลตัสก็ขยายสาขาเช่นกัน ส่วนการเพิ่มขึ้นของค่าไฟประมาณ 2,000 ล้านบาท และค่าพนักงาน 600-800 ล้านบาทในปีนี้ได้รวมไปในประมาณการแล้ว ให้คำแนะนำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 79 บาท
.
ปิดท้ายที่ CPN นักวิเคราะห์จากบล.บัวหลวง ระบุว่า นอกจากส่วนลดค่าเช่าที่ลดลงแล้ว การเติบโตจะได้รับแรงหนุนจากห้างสรรพสินค้าใหม่ๆ เช่น เซ็นทรัล จันทบุรี ที่เปิดในไตรมาส 2/65, มาร์เช่ ทองหล่อ เปิดในไตรมาส 1/66 และ เวสต์วิลล์ ที่จะเปิดในไตรมาส 4/66 นอกจากนี้ ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (ส่วนใหญ่เป็นศูนย์อาหารในอาคารสำนักงาน) โรงแรม และการขายอสังหาฯ จะช่วยเพิ่มการขยายตัวทั้งรายได้และกำไรสุทธิ
.
แม้ว่าค่าไฟฟ้าต่อหน่วยที่สูงขึ้นอย่างมากและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น (CPN คาดว่าอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นจาก 2% ในปี 2565 ไปเป็น 3% ในปี 2566) จะทำให้เกิดอุปสรรค แต่มองว่าความสามารถของบริษัทในการเพิ่มปริมาณการเข้าห้างสรรพสินค้าและการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจะส่งผ่านค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นไปยังผู้เช่า โดยคาดกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 12,678 ล้านบาท โต 20% ซึ่งเป็นสถิติใหม่และเป็นปีที่ดีที่สุดของ CPN ให้คำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 84 บาท