ห้องเม่าปีกเหล็ก

สรุปไฮไลท์หุ้น IPO น้องใหม่ ‘BGRIM’ พร้อมทิศทางการเติบโต ? บริษัท บี. กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)

โดย Freedom VI
เผยแพร่ :
53 views

สรุปไฮไลท์หุ้น IPO น้องใหม่ ‘BGRIM’ พร้อมทิศทางการเติบโต ?

บริษัท บี. กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)

 

                คราวที่แล้วเราพูดถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมไฟฟ้าของประเทศไทย ความสำคัญของอุตสาหกรรมนี้มีผลต่อการสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานและเศรษฐกิจของประเทศรวมไปถึงระดับภูมิภาค เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือน โดยได้นำเสนอความโดดเด่นของ บี.กริม เพาเวอร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศไทย โดยบริษัทฯ มีฐานการลงทุนทั้งในประเทศและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีโครงการโรงไฟฟ้าภายใต้การดูแลครอบคลุมทั้งโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมและโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน

 

 

ครั้งนี้ได้ไปฟังข้อมูลในงานแถลงข่าวการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘BGRIM’ เลยถือโอกาสมาสรุปไฮไลท์เด็ดเกี่ยวกับหุ้น IPO ‘BGRIM’ พร้อมด้วยทิศทางการเติบโตจากโครงการที่ บี.กริม เพาเวอร์ จะลงทุนในอนาคต รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับการจองซื้อ ‘BGRIM’ เพื่อให้แฟนเพจไม่พลาดโอกาสการเติบโตในหุ้นพลังงานตัวใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นครั้งแรกในวันที่ 19 กรกฎาคม 2560

 

ทิศทางอนาคตชัดเจน จากการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ ไปต่อยอดธุรกิจในอีก 5 ปีข้างหน้า ด้วยการขยายโรงไฟฟ้าทั้งในไทยและต่างประเทศ

 

ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว 28 โครงการ มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 1,626 เมกะวัตต์ และในปี 2564 บริษัทฯ จะมีโครงการโรงไฟฟ้าภายใต้การดำเนินงานอย่างน้อย 43 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมประมาณ 2,357 เมกะวัตต์ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยประสบการณ์ยาวนานของทีมบริหารและความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมไฟฟ้า และความเชี่ยวชาญของวิศวกรที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ทำให้แบ็กล็อกของบริษัทฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ด้วยเหตุนี้เอง บี.กริม เพาเวอร์ จึงตัดสินใจเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 716,900,000 หุ้น (เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 651,800,000 หุ้น และจัดสรรหุ้นส่วนเกิน จำนวนไม่เกิน 65,100,000 หุ้น) เพื่อระดมทุนมาขยายธุรกิจ เพื่อต่อยอดความสำเร็จและส่งเสริมให้บริษัทฯ เติบโตต่อได้อย่างเต็มศักยภาพ

 

 

แบ็กล็อกโครงการโรงไฟฟ้าที่จะทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์และเริ่มรับรู้รายได้ในช่วง 5 ปีนับจากนี้ ได้แก่

 

2560 : โรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว กำลังการผลิตรวม 20 เมกะวัตต์

2561 : โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในประเทศไทยและโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว กำลังการผลิตรวม 414 เมกะวัตต์

2562 : โรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว กำลังการผลิตรวม 41 เมกะวัตต์

2563 : โรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศไทย กำลังการผลิตรวม 16 เมกะวัตต์

2564 : โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในประเทศไทย กำลังการผลิตรวม 240 เมกะวัตต์

 

 

หมายเหตุ:

สีน้ำเงิน  = โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำ

สีน้ำตาล = โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังความร้อนร่วม

สีเทา      = โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม

 

**ทั้งนี้ ยังไม่รวมโครงการที่บริษัทฯ อาจได้มาเพิ่มเติมในอนาคต ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศที่บริษัทฯ กำลังทำการศึกษาเพื่อหาโอกาสการลงทุนเพิ่มเติม เช่น อินโดนีเซีย เมียนมาร์ มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา และฟิลิปปินส์

 

นอกจากการขยายธุรกิจใน สปป.ลาว ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซกอง 4 ราว 350 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการเจรจาเสนอขายไฟฟ้าแล้ว บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะเข้าลงทุนในโครงการ SPP Hybrid Firm และธุรกิจติดตั้ง Solar Rooftop บนหลังคาโรงงานลูกค้าของบริษัทฯ พร้อมเทคโนโลยี Energy Storage เพื่อช่วยลดความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงพีค รวมถึงโครงการโซล่าร์ฟาร์มสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ฯ ระยะที่ 2 ซึ่งบริษัทฯ ได้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วจำนวน 24 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการรอจับฉลากอีกจำนวน 14 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมความพร้อมที่จะพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้า SPP ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าโรงละ 140 เมกะวัตต์ เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิมอีก 3 โครงการ รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศมาเลเซีย และประเทศกัมพูชา รวมถึงประเทศอื่นๆในอาเซียนอีกด้วย

 

การันตีศักยภาพธุรกิจจากสถิติการเติบโตของรายได้และกำไร ที่มาจากการขยายตัวของบริษัทฯ

 

  • บี.กริม เพาเวอร์ มีผลประกอบการดีอย่างต่อเนื่อง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2557 – 2559 ด้วยอัตราการเติบโตของรายได้ที่ 18.2%

ส่วนในปี 2560 นี้ ช่วงไตรมาสแรกของปี บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการจำนวน 7,651 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

 

 

  • ด้านกำไรสุทธิปรับปรุงส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ เติบโตขึ้น 89.4% ตั้งแต่ปี 2557 – 2559 และในปี 2560 นี้ ช่วงไตรมาสแรกของปี บริษัทมีกำไรสุทธิปรับปรุงส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่จำนวน 421 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

 

  • โดยปัจจัยหลักของการเติบโตของรายได้มาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าทั้งสิ้น จำนวน 4 โรง ในปี 2559 ได้แก่ โรงไฟฟ้า บี.กริม บีไอพี เพาเวอร์ 2 (BIP2) ที่เริ่มเปิดดำเนินการในเดือนมกราคม 2559 โรงไฟฟ้า บี.กริม โซลาร์ เพาเวอร์ (สระแก้ว) 1 ที่เริ่มเปิดดำเนินการในเดือนเมษายน 2559 โรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 5 (ABP5) ที่เริ่มเปิดดำเนินการในเดือนมิถุนายน 2559 และโรงไฟฟ้าบี.กริม เพาเวอร์ ดับบลิวเอชเอ 1 BGP(WHA)1 ที่เริ่มเปิดดำเนินการในเดือนพฤศจิกายน 2559 ที่ผ่านมา

 

  • โดยรวมอาจดูเหมือนอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้และกำไรลดลง แต่ความจริงแล้วที่ลดลงเพราะบริษัทฯ มีการกู้เงินมาเพื่อลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าต่างๆ ในช่วงปีก่อน ซึ่งนับเป็นหนี้ดีที่กู้มาเพื่อลงทุน ซึ่งจะส่งผลให้มีผลตอบแทนกลับมาในอนาคต

 

เต็มเปี่ยมด้วยความแข็งแกร่งจากข้อได้เปรียบในการแข่งขัน (Investment Highlight) ทั้งในระดับประเทศและภูมิภาคอย่างรอบด้าน

 

  • ความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานของบริษัทฯ และคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี ในอุตสาหกรรมไฟฟ้า

มุ่งบริหารจัดการเพื่อให้ บี.กริม เพาเวอร์ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาและบริหารจัดการโครงการโรงไฟฟ้าอย่างรอบด้าน ทั้งการจัดหาสัญญา การออกแบบและก่อสร้าง การบำรุงรักษา และการจัดหาเงินทุน ฯลฯ โดยได้รับการสนับสนุนจากบุคคลากรและวิศวกรของบริษัทฯ ที่มีความเป็นมืออาชีพ

 

  • ศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าเพื่อรองรับการเติบโตตามความต้องการการใช้ไฟฟ้าของภูมิภาคในระยะยาว

ผ่านโครงข่ายไฟฟ้าและไอน้ำของบริษัท ครอบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 300 ราย ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมชั้นนำในประเทศไทย ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ สวนอุตสาหกรรมบางกะดี นิคมอุตสาหกรรมเหมราช และนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง รวมไปถึงนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ เบียนหัว ในประเทศเวียดนาม

 

  • ความสามารถและความเชี่ยวชาญของทีมปฏิบัติการและบำรุงรักษาของกลุ่มบริษัทฯ
    มีทีมงานวิศวกรและบุคลากรที่มีความสามารถและประสบการณ์ ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนการซ่อมบำรุงรักษาเครื่องจักรต่าง ๆ และได้รับรางวัล "POWER-GEN Asia Project of the Year" ในประเภทของ "The Best Distributed Generation Project" สำหรับโครงการ SPP

 

  • ความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งกับพันธมิตรชั้นนำ

ทั้งในกลุ่มบริษัทพัฒนาและบริหารนิคมอุตสาหกรรมชั้นนำทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ครอบคลุมไปถึงบริษัทผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และลูกค้าอุตสาหกรรม ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรักษาฐานลูกค้าได้

 

  • กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้และกระแสเงินสดที่มั่นคงและต่อเนื่อง

มีโครงการโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับกฟผ. จากโครงการ SPP (ซึ่งมีอายุสัญญา 21 ถึง 25 ปี) กฟภ. จากโครงการ VSPP และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (ซึ่งมีอายุสัญญา 25 ปี) EDL (ซึ่งมีอายุสัญญา 25 ปี) และลูกค้าอุตสาหกรรม (ซึ่งมีอายุสัญญา 5 ถึง 15 ปี)  รวมถึงสัญญาการจัดหาก๊าซธรรมชาติกับ ปตท. (ซึ่งจะมีระยะเวลาของสัญญาสอดคล้องกับระยะเวลาของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกลุ่มบริษัทฯ และ กฟผ.) โดยมีประวัติยอดเยี่ยมในการต่ออายุสัญญา

 

เราสามารถเห็นได้ว่า บี.กริม เพาเวอร์ มีศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจที่ดี ดังนั้น การ IPO ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของ บี.กริม เพาเวอร์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจำนวน 5,000 เมกะวัตต์ เพื่อป้อนเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผ่านการสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงาน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เจริญเติบโต ไปพร้อมกับการพัฒนาสังคมให้สามารถก้าวสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนและพึ่งพาตนเองได้ รวมถึงการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายของบริษัทฯ

 

แล้วนักลงทุนสามารถที่จะจองซื้อ หุ้น IPO ‘BGRIM’ ได้อย่างไร ราคาเท่าไหร่ เวลาไหน ?

 

  • บี.กริม เพาเวอร์ เตรียมเปิดจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนระหว่างวันที่  3 6 กรกฎาคม 2560 นี้ และจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นครั้งแรกในวันที่ 19 กรกฎาคม 2560

 

  • การเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ เป็นการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) จำนวนไม่เกิน 716,900,000 หุ้น(เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 651,800,000 หุ้น และจัดสรรหุ้นส่วนเกิน จำนวนไม่เกิน 65,100,000 หุ้น)  มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2 บาท คิดเป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 27.5 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ (ในกรณีที่จัดสรรหุ้นส่วนเกินเต็มจำนวน)

 

  • โดยมีช่วงราคาเสนอขายที่ 15.00 - 16.50 บาทต่อหุ้น 

 

    • การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ในครั้งนี้ บุคคลทั่วไป และผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ จะต้องชำระเงินค่าจองซื้อที่ราคา 16.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาเสนอขายเบื้องต้นสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นที่ 15.00 - 16.50 บาทต่อหุ้น และจะได้รับคืนเงินส่วนต่างค่าจองซื้อหุ้น ในกรณีที่ราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่า ตามรายละเอียดข้อ 6.10.1 ในหนังสือชี้ชวน 

 

    • บริษัทฯ ร่วมกับผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย จะดำเนินการประกาศราคาเสนอขายสุดท้ายโดยเร็ว โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการประกาศราคาดังกล่าวภายในวันที่ 7 กรกฎาคม 2560  ผ่านเว็บไซต์ของบริษัทฯ และเว็บไซต์ของผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ตามที่ระบุไว้ในข้อ 6.2.1 และ ข้อ 6.2.2 ในหนังสือชี้ชวน

 

ทั้งนี้เปิดจองผ่านผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย 3 รายได้แก่ 

 

  • บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

400/22 อาคารธนาคารกสิกรไทย ชั้น 1, 3, 11 และ 19 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ 0-2696-0000 โทรสาร 0-2696-0099 www.kasikornsecurities.com

 

  • บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)

ชั้น 29 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ 191 ถนนสีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500

โทรศัพท์ 0-2231-3777 และ 0-2618-1000  โทรสาร 0-2618-1469 www.bualuang.co.th

 

  • บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)

ชั้น 6, 8-11 อาคารสำนักงานเมืองไทย-ภัทร 1 252/6 ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310โทรศัพท์ 0-2305-9000 โทรสาร 0-2693-2355 www.phatrasecurities.com

 

ขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนและใบจองซื้อ รวมถึงจองซื้อหุ้นได้ที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย ซึ่งประกอบด้วย

  • บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 0-2696-0000
  • บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 0-2231-3777 และ 0-2618-1000
  • บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)โทรศัพท์ 0-2305-9000

 

และผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย คือ

  • บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด
  • บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด
  • บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)
  • บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
  • บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด
  • บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด

Freedom VI