ห้องเม่าปีกเหล็ก

ดักเก็บ 4 หุ้นเด่น

โดย Durant
เผยแพร่ :
51 views

ดักเก็บ 4 หุ้นเด่นรับราคาน้ำมันลดลง เมื่อเดลต้าอาจนำไปสู่การ lockdown

จากประเด็น OPEC+ ซึ่งการประชุมในวันที่ 18 ก.ค. 64 มีมติปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบเดือนละ 400,000 บาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือน ส.ค.-ธ.ค. 64 ปริมาณรวม 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และขยายเวลามาตรการลดการผลิตน้ำมันดิบที่จะสิ้นสุดลงเดือน เม.ย. 65 ออกไปเป็นเดือน ธ.ค. 65


ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติปรับ Production Baseline ตั้งแต่ พ.ค. 65 เป็นต้นไป ให้กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย คูเวตและอิรัก ซึ่ง OPEC+ จะผลิตเพิ่มขึ้นรวม 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เพิ่มขึ้นอาจนำไปสู่การ Lockdown ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในเอเชีย ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมัน


นอกจากนี้ตลาดกลับมากังวลต่อภาพรวมการฟื้นตัวของอุปสงค์การใช้น้ำมันหลังจากมีการแพร่ระบาดมากขึ้นของ COVID-19 สายพันธุ์เดลต้า ซึ่งต้องจับตาดูว่าการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า จะทำให้ในแต่ละประเทศบังคับใช้มาตรการ lockdown เพิ่มขึ้นหรือไม่ ที่จะกระทบต่อความต้องการใชน้ำมัน และเป็นเหตุให้ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวลดลง


ดังนั้นทีมข่าว Wealthy Thai ได้รวมรวม 4 หุ้นที่ได้รับผลดีเมื่อราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ประกอบด้วย TASCO หรือ บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) SCC หรือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) และ EPG หรือ บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ TOA หรือ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)


มุมมองของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า หุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบปรับฐาน Update  คาดราคาน้ำมันพีคไปแล้วในระยะสั้นที่ 78 เหรียญฯต่อบาร์เรล หลัง ซาอุดิอาระเบีย และ UAE สามารถบรรลุข้อตกลงการผลิตน้ำมันได้สำเร็จ จะส่งผลให้กำลังการผลิตของ OPEC+ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แนะนำหุ้นได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบเริ่มพักฐาน SCC, TOA, EPG, TASCO


โดย คาดว่าราคาน้ำมันดิบ BRENT ที่พุ่งสูงเกือบแตะ 78 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา จะเริ่มพักฐานลงในระยะสั้น 1-2 สัปดาห์ กรอบ 65-68 เหรียญฯ โดยทุกๆ 1เหรียญฯที่ราคาน้ำมันลง จะมีผลเชิงบวกต่อหุ้นดังต่อไปนี้ SCC จะช่วยด้าน Demand เพิ่มขึ้น และต้นทุนลดลง หนุน Margin


ส่วน TOA จะบวกต่อกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นราว +0.5% ต่อ 1 เหรียญฯ ที่ลง ขณะที่ TASCO จะช่วยให้ Margin Spread กว้างขึ้น และEPG เมื่อเทียบกับสมมติฐานของเรา ทุก 1 เหรียญฯที่ลง จะหนุน Margin เพิ่ม +0.03% และส่งผลบวกต่อฐานกำไร  ให้เพิ่มขึ้น 2%


ดังนั้นกลยุทธ์แนะนำ ซื้อลงทุน SCC ราคาเป้าหมาย 194 บาท จากฐานกำไรที่เด่นมาก และอยู่ในจุดซื้อลงทุนรับการเติบโต, TOA ราคาเป้าหมาย 41 บาท แนวโน้มกำไรจากการดำเนินการไตรมาส 2 เด่น และครึ่งหลังปี 64 รวมทั้งการเพิ่มราคาขายช่วยหนุน, EPG ราคาเป้าหมาย 14.3 บาท กำไรไตรมาส 2 เติบโตเด่น และ Trading TASCO ราคาเป้าหมาย 21.8 บาท คาดกำไรไตรมาส 2 เด่น



TASCO ลุ้นกำไรไตรมาส 2 สวย

เริ่มจาก TASCO โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า เมื่อราคาน้ำมันลดลง สเปรดจะดีขึ้นจากต้นทุนน้ำมันที่ลดลง ประกอบกับเงินบาทที่อ่อนค่าจะช่วยหนุนรายได้ของการส่งออก โดยแนวโน้มกำไรไตรมาส 2 คาดจะเร่งตัวขึ้นจากไตรมาสแรก และมีโอกาสดีกว่าตลาดคาด


ส่วนมุมมองของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนะนำ TRADING BUY TASCO ที่ราคาเป้าหมาย 21.8 บาท คาดกำไรไตรมาส 2/64 ถือว่าดีที่ 625 ล้านบาท แม้ ลดลง 64%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะ จากงวดปีก่อนมี Stock gain (Reverse NRV Loss) 1.9 พันล้านบาท แต่กำไรยังเติบโต 48%จากไตรมาสแรก บนสถานการณ์ใกล้กัน ที่การดำเนินงานหลักมีปัจจัยบวกจากราคายางมะตอยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในไทย ขณะที่ ต้นทุนน้ำมันยังมีใช้ช่วงต้นทุนต่ำอยู่ หนุนอัตรากำไรสูงขึ้น


ขณะที่ ราคาหุ้นแกว่งตัวออกข้าง และมี Upside จากราคาเป้าหมาย สามารถซื้อเก็งกำไรได้ จากงบไตรมาส 2 ดีและลุ้นจิตวิทยาบวกจากราคาน้ำมันผ่านพีคและปรับฐาน จาก Supply ที่เริ่มเพิ่ม ขณะที่ ยางมะตอยยังมีราคาดี ขณะที่ ความน่าสนใจระยะกลางยาว ยังต้องติดตามการยกเลิกคว่ำบาตรเวเนซูเอลา จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย. 64 นี้



SCC ลุ้น
ปันผลครึ่งปีแรก 7.50 บาท

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่าประเมินกำไรปกติไตรมาส 2/64 ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท เติบโต 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์ เป็นบวกต่อสเปรดปิโตรเคมีที่จะเร่งตัวขึ้น คาดเงินปันผลครึ่งปีแรก 7.50 บาท ให้อัตราผลตอบแทนของเงินปันผลที่ระดับ 2%


ขณะที่บริษัท หลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 522 บาทโดยประเมินกำไรสุทธิในไตรมาส 2/64 ของ SCC ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท เติบโต 69% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 7%จากไตรมาสแรก กำไรธุรกิจปิโตรเคมีหนุนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น จากโครงการ MOC Expansion ในขณะที่ธูรกิจปูนซีเมนต์ได้ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา โดย คงประมาณการกำไรปี 64 ที่ 5 หมื่นล้านบาท



EPG กำไรไตรมาสแรกโต
235%

มุมมองของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 14.3 บาท โดยคาดกำไรปกติไตรมาสแรกปี 65 (เม.ย.-มิ.ย.64) จะอยู่ที่ 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 235% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 14%จากไตรมาสก่อน


โดยเป็นผลมาจาก รายได้รวมเพิ่มขึ้น เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาดำเนินการตามปกติ ซึ่งธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ (ARK) ฟื้นตัวเด่น จากยอดขาย Main Products ที่เพิ่มขึ้น ตามยอดการผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น และยอดขายของ TJM ที่เพิ่มขึ้น ตามความต้องการอุปกรณ์ตกแต่งรถเพิ่มขึ้น


รวมทั้ง GPM สูงขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของ utilization rate และการทยอยปรับราคาขายขึ้น เพื่อชดเชยกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น iii) ผลประกอบการบริษัทร่วมค้ามากขึ้น ตามยอดการผลิตรถทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ดีขึ้น ภาพรวมกำไรปกติ ปี 65-67 คาดเติบโตต่อเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นของรายได้รวม GPM และผลประกอบการของบริษัทร่วมค้า



TOA เป็นจุดเข้าสะสม

มุมมองของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 41 บาท โดยราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมาหลังหลุด SET50, SET100 รวมถึง แนวโน้มกำไรไตรมาส 2/64 คาดเพียง 584 ล้านบาท ลดลง2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 13%จากไตรมาสแรก แต่เป็นไปตามที่มองไว้เดิม และการดำเนินงานหลักยังเติบโต และไม่เป็น Downside ต่อประมาณการ


โดยมองเป็นจุดทยอยสะสมซื้อกลับ และมองกำไรครึ่งหลังทยอยฟื้นตัว จากอานิสงส์ปรับขึ้นราคาสินค้า 4-6% ชดเชยต้นทุนที่ขึ้นแล้ว รวมถึง ผลกระทบโควิดระลอกใหม่ อาจมีผลต่อปริมาณขาย แต่ยังอยู่ในวงจำกัด เพราะร้านค้าทั้งดีลเลอร์และโมเดิร์นเทรด ยังเปิดบริการ

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


Durant