ศึกทายาท ‘ดุสิตธานี’ กับดักอนาคตโรงแรมไทยระดับตำนาน?
ความขัดแย้งระหว่าง 3 ทายาทของ “ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย” ผู้ก่อตั้งโรงแรมดุสิตธานี ถึงคราวปะทุออกมาอย่างชัดเจน เมื่อในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี ครั้งที่ 32/2568 วันที่ 25 เมษายน 2568 “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ของ “บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT” (ถือครองหุ้นในสัดส่วน 49.74%) ไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 (สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค.2567) ทั้งที่ผ่านการตรวจสอบ และลงนามรับรองโดยผู้สอบบัญชีแล้ว

ส่งผลให้ดุสิตธานี ไม่สามารถส่งงบการเงินไตรมาส 1 ปี 2568 ได้ทันในวันที่ 15 พ.ค.68 นี้ และจะทำให้หุ้น DUSIT ต้องติดเครื่องหมาย SP (ระงับการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว) เนื่องจากต้องรอให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นใหม่ในวันที่ 28 พ.ค.68 นี้ก่อน เพื่อนำวาระการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีของบริษัท ดุสิตธานีฯ เข้าเสนอผู้ถือหุ้น ซึ่งหากผู้ถือหุ้นมีมติแต่งตั้งผู้สอบบัญชีสำหรับรอบปีบัญชี ไตรมาส 1 ปี 2568 ก็จะแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์รับทราบต่อไป เพื่อปลดเครื่องหมาย SP
ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พ.ค.68 นางสาวมัณฑนี สุรกาญจน์กุล เลขานุการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยระบุว่า “ตามที่บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) จะจัดให้มีการประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้น คร้ังที่ 32/2568 (การประชุมที่เลื่อนมาจากวันที่ 25 เม.ย.2568) ในวันพุธที่ 28 พ.ค.2568 เวลา 10.00 น. โดยเป็นการประชุมในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) เพียงรูปแบบเดียวเท่านั้น บัดนี้บริษัทขอเผยแพร่หนังสือเชิญประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 32/2568 พร้อมเอกสาร ประกอบการประชุม ทั้งฉบับภาษาไทย และภาษาอังกฤษ บนเว็บไซต์ของบริษัท www.dusitinternational.com ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.2568 เป็นต้นไป เพื่อให้ผู้ถือหุ้นมีเวลาเพียงพอในการพิจารณารายละเอียดวาระการประชุม และข้อมูลประกอบการประชุมเป็นการล่วงหน้า”
เกิดอะไรขึ้น? ปัญหาความขัดแย้งภายในของทายาทดุสิตธานี
จากเหตุขัดแย้งดังกล่าว อาจมีคำถามตามมาว่า “เกิดอะไรขึ้น?” กับปัญหาภายในของครอบครัวผู้ถือหุ้นหลักบริษัทโรงแรม เจ้าของแบรนด์โรงแรมระดับตำนานในประเทศไทย เพราะการไม่ส่งงบการเงินไตรมาส 1 ปี 2568 ของ DUSIT ได้ทันในวันที่ 15 พ.ค.2568 นั้น ถูกมองว่าอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก และจะส่งผลต่ออนาคตการดำเนินธุรกิจของ DUSIT อย่างไรต่อไป? ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นประเด็นน่าจับตาอย่างมาก
ทายาทของ “ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย” มีใครบ้าง?
ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย มีบุตรธิดา 3 คน ได้แก่
- ชนินทธ์ โทณวณิก (บุตรชายคนโต)
- สินี เธียรประสิทธิ์ (บุตรสาวคนกลาง แต่งงานกับ ฐิตินันท์ เธียรประสิทธิ์)
- สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค (บุตรสาวคนเล็ก แต่งงานกับ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงาน คนปัจจุบัน)
ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ได้ตั้งบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด โดยมีทายาทร่วมถือหุ้นในบริษัท เพื่อลงทุนใน บริษัท ดุสิตธานี จํากัด (มหาชน) หรือ DUSIT ในสัดส่วน 49.74%
โครงสร้างการถือหุ้น บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด
- กลุ่มตระกูลโทณวณิก นำโดย “ชนินทธ์ โทณวณิก” มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 26.66% โดย ชนินทธ์ เองถือหุ้น 25.40% ส่วนที่เหลือเป็นของณัฐพร ศิรินันท์ และศิรเดช โทณวณิก ถือคนละ 0.42%
- กลุ่มตระกูลเธียรประสิทธิ์ นำโดย “สินี เธียรประสิทธิ์” มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 26.65% โดย สินี เองถือหุ้น 26.57% ส่วนที่เหลือเป็นของณัฐสิทธิ พัฒนีพร ลลิตา และภมรศักดิ์ เธียรประสิทธิ์
- กลุ่มตระกูลสาลีรัฐวิภาค นำโดย “สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค” มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 21.68% โดย สุนงค์ เองถือหุ้น 21.62% ที่เหลือเป็นของชลิตา ภัทรพรรณ ภัทรพร และภัทร สาลีรัฐวิภาค
- กองมรดกของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ถือหุ้นในสัดส่วน 24.99%
"ชนินทธ์ โทณวณิก" พ้นกรรมการบริษัท ชนัตถ์และลูก
กระทั่งความขัดแย้งภายในสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน หลังเกิดการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ในเดือนก.พ.2568 มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการครั้งสำคัญ โดย นายชนินทธ์ โทณวณิก ซึ่งเป็นบุตรชายคนโต และผู้บริหารคนสำคัญของดุสิตธานี ออกจากการเป็นกรรมการ ขณะที่มีการแต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่ 2 คน คือ นายภัทร สาลีรัฐวิภาค (ตระกูลสาลีรัฐวิภาค) และนางสาวลลิตา เธียรประสิทธิ์ (ตระกูลเธียรประสิทธิ์)
รายชื่อกรรมการในปัจจุบันประกอบด้วย นางสินี เธียรประสิทธิ์ นางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค นางสาวลลิตา เธียรประสิทธิ์ และนายภัทร สาลีรัฐวิภาค โดยไม่มีชื่อของนายชนินทธ์ โทณวณิก หรือสมาชิกคนใดในตระกูลโทณวณิก เป็นกรรมการบริษัท
การเปลี่ยนโครงสร้างกรรมการล่าสุด ทำให้อำนาจลงนามในนามบริษัทเป็นของ 4 คนจาก 2 ตระกูล ได้แก่ “นางสินี เธียรประสิทธิ์ หรือ นางสาวลลิตา เธียรประสิทธิ์ ลงลายมือชื่อร่วมกับ นางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค หรือ นายภัทร สาลีรัฐวิภาค สองคนลงลายมือชื่อร่วมกัน และประทับตราสำคัญของบริษัท” ซึ่งหมายความว่าอำนาจในการบริหารจัดการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ถูกควบคุมโดยตระกูลเธียรประสิทธิ์ และตระกูลสาลีรัฐวิภาค เท่านั้น โดยที่ตระกูลโทณวณิกไม่มีอำนาจในการลงนามแต่อย่างใด
DUSIT ชี้แจงเรื่องผลประกอบการปี 2567
ด้านรายงานข่าวจากบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT บนเว็บไซต์ของบริษัท ลงวันที่ 2 พ.ค.2568 ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องผลประกอบการปี 2567 ต่อผู้ถือหุ้นบริษัท มีสาระสำคัญดังนี้
บริษัทขอสรุปประเด็นที่กรรมการได้ชี้แจงตอบคำถามแก่ท่าน ผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 32/2568 อีกครั้ง เพื่อให้ท่านได้พิจารณาประเด็นต่างๆ อย่างรอบด้าน ซึ่งบริษัท เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ข้อชี้แจงที่บริษัท จะได้สรุปต่อไปนี้จะสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้นต่อสถานะทางการเงิน และความมั่นคงในการประกอบธุรกิจของบริษัท โดยมีรายละเอียดดังนี้
ภาพรวมธุรกิจของกลุ่มดุสิตธานี อาจจะดูคล้ายกับบริษัทจดทะเบียนอื่นที่อยู่ในหมวดท่องเที่ยว แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว ธุรกิจของบริษัท มีความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นในหลายส่วน ตั้งแต่เจตจำนงในการดำเนินงาน หมวดหมู่ของธุรกิจหลัก รวมถึงขนาดของกิจการ
ตลอดระยะเวลา 76 ปี นับตั้งแต่ท่านผู้ก่อตั้งดุสิตธานี ได้เริ่มธุรกิจโรงแรมมา ธุรกิจส่วนใหญ่ของ บริษัทอยู่ในหมวดธุรกิจโรงแรม และโรงเรียนการโรงแรม รวมถึงกิจการส่วนใหญ่ยังค่อนข้างจำกัดอยู่ในประเทศไทย ส่งผลให้เมื่อใดที่เกิดเหตุการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ ในประเทศไทย หรือเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจท่องเที่ยว จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลการดำเนินการของบริษัท ซึ่งมีความเสี่ยงที่ทำให้กิจการหยุดนิ่ง และไม่สามารถเติบโตได้
ดังนั้น คณะกรรมการบริษัท จึงได้อนุมัติแผนการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง และสร้างการเติบโตให้กับบริษัท มาโดยตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยนับตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน บริษัทมีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยสามารถขยายกิจการจาก 2 ธุรกิจหลักเป็น 4 ธุรกิจหลัก สามารถขยายกิจการจาก 8 ประเทศ สู่ 19 ประเทศ สามารถสร้าง และยกระดับมูลค่าแบรนด์จาก 4 แบรนด์ เป็น 10 แบรนด์ รวมถึงสามารถสร้างชื่อเสียงของบริษัท ให้เป็นตัวแทนโรงแรมไทยที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
ทั้งนี้ ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่า บริษัทจะต้องเผชิญกับมรสุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบทั่วโลกต่อเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจท่องเที่ยว และการเดินทางหยุดชะงักเป็นเวลาถึง 3 ปี จนกระทั่งทยอยฟื้นตัว และกลับมาอยู่ในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิดในปีที่ผ่านมา แต่บริษัท ยังคงสามารถประคับประคองตัว และเดินหน้าขยายกิจการได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายรวมถึง การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ซึ่งมีมูลค่าโครงการมากกว่า 46,000 ล้านบาท โดยที่บริษัทไม่เคยขอรบกวนท่านผู้ถือหุ้นด้วยการเพิ่มทุนแต่อย่างใด เพราะจะส่งผลกระทบต่อสัดส่วนการถือหุ้นเดิม (share dilution) อย่างมีนัยสำคัญ แต่บริษัทพยายามที่จะช่วยเหลือตนเอง ด้วยการหาแหล่งเงินทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การออกหุ้นกู้ การขอสินเชื่อ เพื่อนำมาบริหารจัดการกิจการ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับบริษัท ซึ่งปรากฏหลักฐานที่ชัดเจน คือ นับตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่บริษัท เริ่มกระจายการลงทุน จนถึงปัจจุบัน บริษัท ยังคงมีทุนจดทะเบียนคงเดิมอยู่ที่ 850 ล้านบาทไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่ขนาดของกิจการ และส่วนของผู้ถือหุ้นในปี 2567 สามารถเติบโตกว่า 3,770 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปีก่อน
การขาดทุนสะสมของบริษัท ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยรวมแล้วเป็นผลมาจากการนำบริษัท ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และยังยืดเยื้อยาวนานถึง 3 ปี รวมถึงการลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยง และขยายกิจการ เพื่อความมั่นคงของบริษัท ในอนาคตตามกลยุทธ์ของบริษัท ที่ได้เคยนำเสนอกับที่ประชุมผู้ถือหุ้น และรายงานความคืบหน้ามาเป็นระยะด้วยแล้ว เช่น โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่เป็นโครงการสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงานของบริษัท จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ผลขาดทุนในปี 2567 ของบริษัท มีสาเหตุหลักมาจากดอกเบี้ยจ่ายของหุ้นกู้ที่บริษัทออก และเสนอขายเพื่อรองรับสภาพคล่องทางการเงินในช่วงโควิด-19 และดอกเบี้ยเงินกู้ยืม (ประมาณ 281 ล้านบาท) และดอกเบี้ยของหนี้สินจากสัญญาเช่าตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 16 (TFRS 16) (ประมาณ 297 ล้านบาท) รวมเป็นต้นทุนทางการเงินทั้งสิ้นประมาณ 578 ล้านบาท จึงเห็นได้ว่า การที่บริษัทมีภาระดอกเบี้ยสูงเนื่องจากบริษัท ไม่ต้องการรบกวนผู้ถือหุ้นโดยการเพิ่มทุนจึงเป็นสาเหตุหลักในการขาดทุน ทั้งนี้ หากไม่รวมต้นทุนทางการเงินนี้ บริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินงาน ดังจะเห็นได้จากการที่บริษัท มีกำไรจากการดำเนินงาน และ EBITDA ของบริษัท ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับประเด็นของการลงทุนใน 4 โครงการ ได้แก่ โรงแรมอาศัย กรุงเทพ ไชน่าทาวน์ โรงแรมอาศัย กรุงเทพ สาธร โรงแรมดุสิตสวีท ราชดำริ และโรงเรียนสอนประกอบการทำอาหาร เดอะ ฟู้ด สคูล ที่มีผู้ถือหุ้นสอบถามเข้ามานั้น บริษัท ขอเรียนว่า การลงทุนดังกล่าว เป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนโควิด-19 เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ของการท่องเที่ยวในปัจจุบัน และอนาคต รวมถึงดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ ซึ่งโครงการได้แล้วเสร็จในช่วงโควิด-19 ซึ่งเป็นช่วงของวิกฤติการท่องเที่ยว และการประกอบกิจการของทุกๆ ภาคส่วนอันเป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดเห็น และไม่อาจควบคุมได้ โดยบริษัทขอเรียนเพิ่มเติมว่า 2 ใน 4 โครงการดังกล่าว (ได้แก่ โครงการโรงแรมอาศัย ไชน่าทาวน์ และโครงการโรงแรมดุสิตสวีท ราชดำริ) เป็นโครงการที่ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นซึ่งได้รับการนำเสนอจากที่ปรึกษาอิสระ (Independent Financial Advisor) และที่ปรึกษาทางกฎหมาย (Legal Advisor) มิได้เป็นการอนุมัติจากคณะกรรมการเพียงฝ่ายเดียวตามที่มีผู้ตั้งคำถามถึงดุลยพินิจของคณะกรรมการในการตัดสินใจเข้าลงทุน ถึงกระนั้นก็ตาม บริษัท ขอขอบพระคุณสำหรับคำถามดังกล่าวที่ทำให้บริษัท ได้มีโอกาสตอบข้อสอบถามในระหว่างการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 32/2568 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568
โดยบริษัท ขอเรียนสรุปรายละเอียด และความคืบหน้าของแต่ละโครงการดังนี้
- โรงแรมอาศัย ไชน่าทาวน์ และอาศัย สาทร เป็นการลงทุนเพื่อทำให้บริษัท สามารถเจาะตลาดกลุ่มใหม่ คือ Gen Z and Millennials Segment ที่มีการเติบโตสูง และเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด โดยอาศัย ไชน่าทาวน์ ที่เป็นการลงทุน และเปิดในช่วงโควิด ได้เคยติดอันดับ 1 ใน Tripadvisor ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีโรงแรมอื่นใดในกลุ่มดุสิตฯ ได้รับมาก่อน อันเป็นการตอกย้ำว่าบริษัท ได้ปรับตัว และตอบโจทย์ทิศทางตลาดแนวใหม่ได้เป็นอย่างดี ในขณะที่อาศัย สาทร เป็นการลงทุนเพื่อสร้างโรงแรมต้นแบบ ทั้งในส่วนของขนาดห้อง รูปแบบการให้บริการของแบรนด์ ฯลฯ เพื่อที่ลูกค้า (hotel owner) จะได้เข้าใจในมาตรฐาน และรายละเอียดของแบรนด์ ในลักษณะที่เป็นรูปธรรมอันจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการสร้างความไว้วางใจให้บริษัท ไปบริหารโรงแรมในแบรนด์ อาศัย เพื่อเป็นการเปิดโอกาสต่อยอดแบรนด์ อาศัย ให้ขยายต่อไปในพื้นที่ (Location) อื่นๆ อย่างมีมาตรฐานที่ชัดเจน นอกจากนี้ ในอนาคตข้างหน้า บริษัทคาดว่า จะมีรายได้จากการรับจ้างบริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์ อาศัย อีกมาก โดยปัจจุบัน บริษัทมีสัญญาที่ลงนามเพื่อบริหารแบรนด์โรงแรมนี้อีก 8 แห่ง
- ปัจจุบัน ทั้งสองโรงแรมมีผลประกอบการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนบริษัท สามารถนำโรงแรมทั้งสองแห่งนี้เข้าไปนำเสนอนักลงทุนในการทำ DREIT Buy Back ได้สำเร็จ เพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนเงินกู้ และลดภาระดอกเบี้ย
- โรงแรมดุสิต สวีท ราชดำริ หลังภาวะโควิด โรงแรมก็มีการพัฒนาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีผลประกอบการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน ปัจจุบันบริษัท ได้ใช้โรงแรมนี้ทำโครงการนำร่องเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ให้ความสนใจเรื่องสุขภาพ และ Wellness ซึ่งเป็นอีกเทรนด์หนึ่งที่กำลังมีการเจริญเติบโต โดยทางโรงแรมได้มีความร่วมมือกับโรงพยาบาล และคลินิกที่เป็นพันธมิตรในการจัดทำแพ็กเกจห้องพักระยะยาว และพร้อมบริการด้าน Wellness อีกด้วย
- โรงเรียนสอนทำอาหาร เดอะ ฟู้ด สคูล (TFS) เป็นการลงทุนใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 โดยปกติแล้ว ธุรกิจโรงเรียนจะต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 ปี หรือกว่านั้นจึงจะคุ้มทุน ดังนั้น สำหรับ TFS นั้น จึงถือได้ว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ปัจจุบันได้ดำเนินงานเข้าสู่ปีที่ 2 ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมาทาง TFS มีจำนวนนักเรียนหลักสูตรระยะสั้น 1,401 คน และหลักสูตรระยะยาว 181 คน ซึ่งถือว่า อยู่ในเกณฑ์ดีเมื่อเทียบกับโรงเรียนอื่นๆ ที่เปิดมาก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็น เลอ กอร์ ดองเบลอ ดุสิต หรือวิทยาลัยดุสิตธานี และกำลังค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ
สำหรับแนวทางแก้ไขผลการดำเนินงานในภาพรวมนั้น คณะกรรมการและฝ่ายจัดการมีความพยายามอย่างเต็มที่ในการบริหารจัดการเพื่อให้ธุรกิจเติบโตไปตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ เพิ่มรายได้ บริหารจัดการต้นทุนทางการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อสร้างผลกำไรโดยเร็ว
ทั้งนี้ นอกจากโครงการทั้ง 4 ที่มีผู้ถือหุ้นสอบถามมาดังกล่าว บริษัทขอเรียนเพิ่มเติมว่า บริษัทมีการลงทุน และดำเนินการในโครงการอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องอีกหลากหลายโครงการ โดยขอเรียนยกตัวอย่างที่เห็นเป็นประจักษ์ คือ โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ซึ่งขอเรียนท่านผู้ถือหุ้นว่า ในส่วนของโครงการที่พักอาศัย (Dusit Residences และ Dusit Parkside) มียอดขายปัจจุบันอยู่ที่ 87.9% เป็นมูลค่าประมาณ 15,850 ล้านบาท และบริษัทมีแผนงานที่พยายามจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในส่วนของ โครงการที่พักอาศัย ตั้งแต่ปลายปี 2568 และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพี่อทำให้สามารถรับรู้รายได้อย่างมีนัยสำคัญในปี 2569 ซึ่งบริษัท มีความตั้งใจจะนำเงินที่ได้รับมาจากการโอนอาคารที่พักอาศัย มาชำระคืนหนี้สินให้กับสถาบันการเงินเพื่อลดภาระดอกเบี้ย
ดังนั้น บริษัทขอให้ความมั่นใจแก่ท่านผู้ถือหุ้นว่า ถึงแม้บริษัท จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และสภาวะความผันผวนของปัจจัยที่หลากหลาย ทั้งยังอยู่ในช่วงของการลงทุนโครงการสำคัญ บริษัทก็ยังสามารถประคับประคองให้การดำเนินงานมีการฟื้นตัวจากผลกระทบภายนอกต่างๆ และมีการเติบโตของรายได้รวมในปี 2567 ที่ผ่านมาสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 11,204 ล้านบาท เติบโตขึ้น 4,794 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และในทิศทางเดียวกัน EBITDA ก็มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จาก 862 ล้านบาท เป็น 1,650 ล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 มีค่าเท่ากับ 4.09 เท่า (แต่หากพิจารณาเฉพาะหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย และไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า TFRS 16 ต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวม ค่าจะเท่ากับ 1.09 เท่า ซี่งเป็นไปตามเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงิน)
ท้ายที่สุดนี้ บริษัทขอยืนยันความมุ่งมั่นของคณะกรรมการในการบริหารงานด้วยความตั้งใจ เพื่อนำพาบริษัท ไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย กลยุทธ์ต่างๆ ของบริษัท ได้รับการพิจารณา และกลั่นกรองอย่างรอบคอบ เพื่อให้ฝ่ายบริหารสามารถนำไปปฏิบัติและพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน อันจะนำมาซึ่งผลประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ถือหุ้นทุกราย
ที่มาข้อมูลเนื้อหาจาก.. https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1180489