ห้องเม่าปีกเหล็ก

หวั่นไทย เสี่ยง เศรษฐกิจถดถอย

โดย dave
เผยแพร่ :
67 views

หวั่นไทย เสี่ยง เศรษฐกิจถดถอย

 

 

กูรูเศรษฐกิจเผย ความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยเพิ่ม หลังการบริโภคในประเทศชะลอตัว สะท้อนยอดเก็บแวตติดลบ เชื่อรัฐเข็นมาตรการต่อเนื่อง ด้านขุนคลังแจงแวตชะลอตัว เหตุคนไม่เชื่อมั่นเศรษฐกิจ ยันไทยไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยแน่นอน มั่นใจมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยันไว้ทัน

        ภาวะเศรษฐกิจไทยเดือนกรกฎาคมที่ออกมา แม้จะเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน จากการส่งออกที่ปรับตัวเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 5 เดือนที่ 4.3% ประกอบกับการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวดีขึ้น โดยปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน เพื่อการผลิตขยายตัวได้ถึง 9.9% และการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัว 17.5% แต่พบว่า การบริโภคภายในประเทศกลับชะลอตัวลงเล็กน้อย โดยสะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต)เดือนกรกฎาคมที่ติดลบสูงถึง 9.1% สะท้อนถึงการขาดความเชื่อมั่นของประชาชนจากเศรษฐกิจที่ชะลอลง ทำให้ชะลอการบริโภคลงตามอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัวต่อเนื่อง 2 ไตรมาส จนทำให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอย

        นายสมประวิณ มันประเสริฐ ผู้บริหารสายงานวิจัยและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า อยู่ระหว่างติดตามพัฒนาการปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยเช่น เศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า ซึ่งส่งผลกระทบผ่านการลงทุนและการบริโภคที่ปรับตัวย่อลง ส่วนสัญญาณเศรษฐกิจไทย 2 ไตรมาสที่เติบโตชะลอตัวนั้น ยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ผลศึกษาของกรุงศรีพบว่า มีความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจจะถดถอยเพิ่มขึ้นจาก 9% เป็น 16% ใน 2 ไตรมาส หากเศรษฐกิจไทยชะลอตัวเรื่อยๆบวกกับปัจจัยแวดล้อมหลายสำนักที่คาดการณ์เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นจึงมีความเสี่ยงด้านตํ่าของเศรษฐกิจไทย

“การที่รัฐบาลทำนโยบายออกมาตอบสนองแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจช่วงนี้ นับเป็นข้อดีที่จะป้องกันความเสี่ยงได้เร็วขึ้น ซึ่งในช่วงที่เหลือเชื่อว่าภาครัฐคงจะมีการทยอยออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อมิให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอย”

        นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบีเปิดเผยกับ“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า แนวโน้มการบริโภคเอกชนและครัวเรือนชะลอตัว ถ้าไม่มีมาตรการออกมาสนับสนุน การบริโภคทั้งปีจะเติบโตได้แค่ 3% จากปีที่แล้วที่เติบโตได้ 4.6%

        “ส่วนหนึ่งประชาชนเริ่มรู้ตัวว่า เศรษฐกิจชะลอลง จึงชะลอการจับจ่าย โดยเฉพาะสินค้าคงทน จึงมีโอกาสเป็นไปได้ที่่เศรษฐกิจจะถดถอยทางเทคนิคหรือ Technical recession คือเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เศรษฐกิจติดลบต่อเนื่อง 2 ไตรมาส แต่ถ้ารัฐบาลให้มาตรการยาแรง เช่น กระตุ้นอสังหาฯ ลดภาษี  น่าจะช่วยเลี่ยงภาวะ Technical recession ได้”

        นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดกล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเติบโตชะลอตัวตํ่ากว่าศักยภาพของประเทศที่ควรจะอยู่ในระดับ 3.5-4%ต่อปี แต่ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตชะลอตํ่ากว่า 3% แต่ยังไม่เกิดภาวะถดถอย โดยต้องติดตามผลกระทบที่มาจากปัจจัยต่างประเทศว่า จะมีพัฒนาการอย่างไร โดยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวนั้น มาจากปัจจัยภายนอก ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมและประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ต่างถูกกระทบเช่นกันยกเว้นเวียดนามซึ่งมีความได้เปรียบจากค่าเงินไม่ผันผวน เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะเดียวกันยังได้อานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตใหม่ๆเข้าไปอย่างต่อเนื่อง

 

 

“ทุกประเทศถูกกระทบจากสถานการณ์กีดกันทางการค้า เศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนส่งผลต่อภาคส่งออกรวมทั้งไทยและเงินบาทแข็งค่าอีก แต่สัญญาณจากรัฐบาลเช่น กระทรวงการคลังยังมีข่าวเตรียมมาตรการกระตุ้นหรืออาจจะลดดอกเบี้ยได้อีก ซึ่งรัฐยังมีพื้นที่ในการใช้ทั้งนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป ขณะนี้เชื่อว่ารัฐพยายามติดตามผลมาตรการที่ออกมาแล้วและพร้อมจะทยอยออกมาตรการกระตุ้นได้อีกหากมีความจำเป็น”

        ขณะที่นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า การจัดเก็บแวตที่ชะลอลงในเดือนกรกฎาคม เป็นผลจากสภาพเศรษฐกิจที่ทำให้จัดเก็บได้น้อยลงบ้าง แต่โดยรวมแล้ว การจัดเก็บรายได้จากแวตยังเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่่งกระทรวงการคลังจะติดตามดูแลสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยการเก็บแวตที่ลดลง 2 เดือนติดต่อกัน ยืนยันว่าเศรษฐกิจจะไม่ถดถอยแน่นอน เพราะรัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและภาคเอกชนให้สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ ซึ่งจะช่วยยันให้เศรษฐกิจไม่ลดลงได้ โดยหลังจากนี้เชื่อว่า การจัดเก็บภาษีจะดีขึ้น     

 

ด้านนายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)กล่าวว่า แม้ภาพรวมการจัดเก็บแวตปีนี้ จะตํ่ากว่าปีก่อนมาก แต่เมื่อดูรายละเอียดจะเห็นว่าไม่ได้เกิดจากการหดตัวของการบริโภค แต่ปีก่อนหน้ามีการโอนทรัพย์สินของกิจการขนาดใหญ่ ทำให้มีการชำระแวตเพิ่มสูงเป็นพิเศษ ซึ่งหากหักปัจจัยพิเศษออกไป การจัดเก็บแวตในประเทศเดือนกรกฎาคมขยายตัว3.2% ขณะที่แวตนำเข้าลดลงจากราคานํ้ามันที่ตํ่ากว่าปีก่อนด้วย

        “ครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจจะต้องขยายตัวให้ได้ 4.4% ซึ่งการส่งออกต้องขยายตัวได้สูงกว่านี้อีก ขณะที่การจัดเก็บแวตจะต้องกลับมาขยายตัวเป็นบวกด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้การบริโภคภายในประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามที่วางแผนไว้”

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


dave