ห้องเม่าปีกเหล็ก

ตลท. รับมียาแรงลดหุ้นดิ่ง

โดย GREEN WAY
เผยแพร่ :
79 views

ตลท. รับมียาแรงลดหุ้นดิ่งติดตามสถานการณ์ก่อน11 เม.ย.

 

“อัสสเดช” รับมาตรการชั่วคราวเหมาะสมกับภาวะตลาด ก่อนหน้านี้บอร์ดพิจารณายาแรงลดเซอร์กิตเบรกเกอร์ เหลือ 5% ส่วนการขายชอร์ตยังมีประโยชน์ แต่จะประเมินเกณฑ์ใหม่

 

 

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า การติดตามภาวะตลาดหุ้นหลังใช้มาตรการชั่วคราว ตลท.ยังมีอำนาจออกมาตรการเพิ่มเติมได้ทั้งเข้มขึ้นและผ่อนคลายลง โดยดูจากความเหมาะสมของสถานการณ์ก่อนถึงที่ 11 เม.ย. ที่จะครบกำหนดมาตรการชั่วคราว ซึ่งปัจจุบันการปรับซิลลิ่ง-ฟลอร์ และห้ามขายชอร์ต มีความเหมาะสมและเพียงพอกับสถานการณ์ตอนนี้

โดยก่อนหน้านี้ทางบอร์ดมีการหารือเสนอพิจารณาลดอัตราเซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breaker) จากเดิมขั้นแรกลดลง 8% พักการซื้อขาย 30 นาที เป็น 5 % แทน เมื่อพิจารณาความเหมาะสมมาตรการที่ตัดสินใช้ชั่วคราวและตลาดหุ้นปรับลดลงมา 4.5% ปรากฎมีหุ้นในกลุ่ม SET100 เพียงแค่ 2 บริษัทที่ปรับตัวระหว่างวันลดลงแตะฟลอร์ เทียบกับมูลค่ามาร์เก็ตแคป กลุ่มนี้ที่ 80% ของตลาดหุ้นไทยถือว่ามีศักยภาพรองรับภาวะตลาดหุ้นดังกล่าวได้ดี

 

ส่วนการพิจารณาเฉพาะมาตรการขายซอร์ตที่มีการปรับเกณฑ์ใหม่และอยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นยังเดินหน้าต่อ ซึ่งอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อคิดเห็นเพื่อกลับมาประเมินโดยเฉพาะมาตรการทบทวน Uptick สำหรับการขายชอร์ต เฉพาะหุ้นกลุ่ม SET 100 เดิมใช้ทุกหลักทรัพย์ ซึ่งตามภาวะตลาดปกติการขายชอร์ตถือว่ามีประโยชน์ และทุกตลาดมีการขายชอร์ตยู่แล้ว

“หลักการออกมาตรการไม่ให้หุ้นปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วเกินไปในภาวะตลาดไม่ปกติ จึงใช้อำนาจของตลท. ที่มีประกาศมาตรการชั่วคราวออกมา ส่วนการจะพิจารณาเพิ่มเติมมาตรการจะมีการติดตามสถานการณ์รายวันก่อนถึงกำหนด 11 เม.ย.อยู่แล้ว”

ส่วนของสถาบันและกองทุนขนาดใหญ่ได้มีการเทขายหุ้นอย่างหนักจนเกิดความกังวลได้มีการสอบถามไปยังผู้จัดการกองทุนวายุภักษ์ยืนยันไม่ได้มีการขายหุ้นออกมาตามเกณฑ์คงกระแสเงินสดจากตลาดหุ้นปรับตัวลดลงแรง เพราะอัตราการปรับตัวลงยังไม่ถึง 20% ตามเกณฑ์จากวันนี้และยังห่างไกลมาก พร้อมทั้งยังมีเม็ดเงินลงทุนอีกจำนวนมากเพื่อลงทุนหุ้นไทย

ทั้งนี้ในแง่ผลกระทบต่อตลาดทุนไทยซึ่งถือว่าเป็นวิกฤติที่สร้างแรงกดดันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนต้องดูพัฒนาการเกิดขึ้นว่าการเจรจากับสหรัฐออกมาเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนในโครงการตลท. ผลักดัน Jump+ ที่มีความสำคัญต่อบจ.ไทย

ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนอย่างหนัก การแข่งขันหรือการเติบโตจะไปในทิศทางอย่างไรเป็นหน้าที่ผู้บริหารต้องมาดูว่าจะพลักดันไปอย่างไร ซึ่งจะกลายเป็นปัจจัยบวกสำหรับตลาดทุนไทยที่จะมีอะไรใหม่เข้ามาปรับเปลี่ยนและสะท้อนตลาดหุ้นไทยได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับในช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงต่อเนื่อง และปริมาณการซื้อขายในช่วงปลายเดือนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นผลจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐประกาศมาตรการเก็บภาษีอย่างต่อเนื่อง และยังคงมีการปรับเปลี่ยนนโยบายไปมาหลายครั้ง ทำให้ผู้ลงทุนกังวลเกี่ยวกับการส่งออกของไทย

รวมถึงผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรง ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอแจ้งปิดการซื้อขายทุกตลาด ทั้งSET mai TFEX ในภาคบ่ายของวันที่28มีนาคม2568แต่หากพิจารณาเปรียบเทียบกับภัยธรรมชาติในอดีตทั้งสึนามิ ปี2547และน้ำท่วม ปี2554แม้ว่ามีผลกระทบต่อจิตวิทยาผู้ลงทุนและเศรษฐกิจโดยรวม แต่ผลกระทบเหล่านี้มักเป็นระยะสั้นและมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท. เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 ผล กระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวซึ่งกระทบกับกลุ่มขนส่ง กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มประกันภัย และกลุ่มรับเหมา ทำให้ผู้ลงทุนมีความกังวลว่าอาจมี บจ. ในกลุ่มดังกล่าว อาจได้รับผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้

หากพิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ พบว่า บจ. ยังมีความเข้มแข็งและน่าจะสามารถผ่านสถานการณ์ครั้งนี้ไปได้ อีกทั้ง SET Index ช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ทำให้ Valuation ของหลักทรัพย์อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ดังนั้น เริ่มเห็นสัญญาณ บจ. ไทยเข้ามาช่วยหนุนมูลค่าบริษัทของตัวเองโดยการเข้ามาซื้อหุ้นคืน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุน ขณะที่ Value Stock เริ่มมี downside ที่จำกัด

สำหรับเดือนมี.ค.2568 SET Index ปิดที่ 1,158.09 จุด ปรับลดลง 3.8% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาคส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึง วันที่ 31 มีนาคม 2568 SET Index ปรับลดลง 17.3%

กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่าSET Indexเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มการเงิน กลุ่มทรัพยากร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มเกษตรและอาหาร และ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์

มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของSETและmaiอยู่ที่ 38,491ล้านบาท หรือลดลง 10.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในช่วงไตรมาส 1/2568 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวม อยู่ที่ 42,826 ล้านบาท ลดลง6.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 21,852ล้านบาท ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2568 ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 39,978 ล้านบาท

วันที่ 8 เมษายน 2568 SET Index ปิดที่1,074.59จุด ลดลง 4.50%มูลค่าการซื้อขายรวม 66,714 ล้านบาท สะท้อนแรงกดดันที่เกิดขึ้นจากความวิตกต่อมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs)ของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลบังคับใช้ 9 เมษายน 2568 โดยนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศนโยบาย “Liberation Day” SET Indexปรับลดลง 8.4% สอดคล้องกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ระดับ12.2เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ11.4เท่าและ HistoricalP/E อยู่ที่ระดับ15.2เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ13.9เท่า

อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนมีนาคม2568อยู่ที่ระดับ4.24%สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่3.34%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน519,619สัญญา เพิ่มขึ้น7.1%จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ Single Stock Futuresและ SET50Index Futuresทำให้ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 463,656 สัญญา ลดลง4.2%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures

 

ที่มา..  https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1175218

 


GREEN WAY