นายวิน พรหมแพทย์ รองประธานสมาคมซีเอฟเอประเทศไทย ในฐานะสมาคมวิชาชีพด้านการวิเคราะห์และจัดการลงทุน เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกรณีผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงินระยะสั้น (บีอี) ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง จึงแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังการลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น
ขณะนี้มีนักลงทุนจำนวนมากแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นโดยการลงทุนในตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับเครดิต (ไม่มีเรตติ้ง) ทั้งที่เป็นการลงทุนโดยตรง เช่น ซื้อตั๋วแลกเงินหรือหุ้นกู้ที่เสนอขายกับนักลงทุนในวงจำกัด (พีพี) และลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนตราสารหนี้ประเภท Term Fund
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยและบริษัททริสเรทติ้งระบุว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 มีหุ้นกู้ที่ออกโดยผู้ออกที่ไม่ได้รับการจัดอันดับเครดิตวงเงิน 19,795 ล้านบาท เกือบเท่ากับยอดทั้งปีของปี 2558 และคิดเป็น 5.76% ของการออกหุ้นกู้ทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 4.61% ในปี 2558 และ 2% ในช่วง 2 ปีก่อน ยังไม่นับตั๋วบีอีระยะสั้นอีกจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งที่ขึ้นทะเบียนและไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย
“แม้ตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับเครดิตจะให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มักจะมีสภาพคล่องต่ำและแลกกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ โดยความเสี่ยง เกิดขึ้นได้จาก 2 สาเหตุ คือ
1. ความสามารถในการชำระหนี้
2. ความเต็มใจในการชำระหนี้ เกิดจากการวิเคราะห์ตัวผู้บริหาร
ซึ่งตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับเครดิตจึงเหมาะกับนักลงทุนสถาบันหรือ รายใหญ่ที่มีเวลาและมีความรู้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน”
ขณะเดียวกัน น่าเป็นห่วงว่า นักลงทุนบุคคลจำนวนมากไม่มีเวลาในการวิเคราะห์งบการเงินหรือตัวผู้บริหาร และมักทุ่มเงินลงทุนในตั๋วแลกเงินหรือหุ้นกู้เพียง 1-2 ใบ โดยไม่ได้กระจายความเสี่ยง หากเกิดเหตุผิดนัดชำระหนี้ก็จะทำให้มีความเสียหายได้
แหล่งข่าวจากตลาดทุนกล่าว KC ผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบีอีครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากฐานะการเงินอ่อนแอ แต่เป็นปัญหาทางเทคนิคมาจาก งบการเงินของบริษัท ซึ่งผู้สอบบัญชีรับรองงบ โดยไม่สามารถให้ข้อสรุปต่อข้อมูลทางการเงินในงบการเงินงวดไตรมาส 3 ปี 2559 เนื่องจากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ การขายที่ดินและซื้อที่ดิน จึงยังรอข้อสรุปผลการพิจารณาจากคณะกรรมการตรวจสอบ
ขอบคุณภาพจาก : ฐานเศรษฐกิจ
ผู้บริหาร บลจ.โซลาริส กล่าวว่า ได้ลงทุนในตั๋วของ KC มูลค่า 350 ล้านบาท แต่ผู้ถือหน่วยลงทุน ไม่ต้องกังวล เนื่องจากมีแผนที่จะขายตั๋วให้กับผู้ซื้อ โดยไม่มีส่วนลด เพราะมีทรัพย์สินเป็นที่ดิน มูลค่า 600 ล้านบาทรองรับ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) โซลาริสฯ ทำหนังสือแจ้งผู้ถือหน่วยลงทุนว่า บริษัท อี ฟอร์ แอล เอมฯ(EFORL) ชำระคืนตั๋วแลกเงิน(บี/อี)มูลค่า 200 ล้านบาทไม่ได้ตามกำหนดวันที่ 12 มกราคม 2560 ที่ผ่านมา โซลาริสจึงไม่สามารถจัดสรรเงินคืนให้กับผู้ถือหน่วยได้ตามกำหนด
ขณะเดียวกันมีกระแสข่าวให้จับตา บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ฯ (CHOW) เป็นรายต่อไป ที่อาจจะไม่สามารถชำระคืนตั๋วบี/อีได้ตามกำหนด เนื่องจากมีภาระหนี้สินจำนวนมาก
ส่วนบริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่นฯ(IFEC) ที่ขอเลื่อนจ่ายเงินคืน 200 ล้านบาท จากวันที่ 5 มกราคม เป็นวันที่ 11 มกราคม แต่เมื่อถึงกำหนดก็ไม่มีเงินคืนให้กับ บลจ.โซลาริสฯ ซึ่งเป็นไปอย่างที่คาดการณ์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สั่งหยุดพักการซื้อขายหุ้น IFEC ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคมเป็นต้นไป จนกว่าบริษัทจะชี้แจงข้อมูลเรื่อง ผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบี/อี เพราะเป็นเรื่องสำคัญ มีผลต่อการตัดสินใจลงทุน
แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตากลุ่มผู้ออกตั๋ว B/E ที่มีหนี้ค่อนข้างมาก เพราะอาจจะมีความเสี่ยงเกิดปัญหาผิดนัดชำระหนี้ ซ้ำรอยได้อีก
สำหรับแนวโน้มภาพการ default ตั๋ว B/E ในปีนี้ยังไม่ชัดเจนมากนัก ซึ่งต้องจับตาดูตลอดเวลา แต่ที่เห็นคือพฤติกรรมผู้ออกที่คิดว่าจะ roll over ได้ตลอดเวลานั้นสถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปแล้ว เพราะนักลงทุนจะหันไปลงทุนในตราสารที่ไม่เสี่ยงและระยะยาวขึ้น จึงอยากเตือนให้ผู้ออกตราสารหนี้ดังกล่าวเตรียมสภาพคล่องเพียงพอไว้ก่อนหากนักลงทุนจะไม่ roll over
ด้านนายธาดา พฤฒิธาดา กรรมการผู้จัดการ สมาคมตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า การผิดนัดชำระหนี้ตั๋ว B/E ที่ผ่านมา อาจมาจากการคาดการณ์สภาพคล่องผิดพลาดและความขัดแย้งของกลุ่มผู้บริหาร ซึ่งลักษณะของตั๋ว B/E เป็นตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งมีทั้งที่มีเรตติ้งและไม่มีเรตติ้ง
สำหรับผลกระทบจากการผิดนัดชำระ อาจจะส่งผลต่อบริษัทอื่นๆ ที่จะออกตามมาว่า จะมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ขยับขึ้น เพราะกลุ่มคนที่สนใจลงทุนอาจจะเรียกร้องผลตอบแทนสูงขึ้น ซึ่งก็สอดคล้องกับภาวะตลาด ทางสมาคมฯ จึงอยากจะเตือนผู้ออกว่าสถานการณ์ที่คิดว่าจะ roll over (ครบกำหนดแล้วก็ออกตั๋วออกมาขายต่อเรื่อยๆ) ได้ตลอดเวลา สถานการณ์อาจไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
จึงอยากจะบอกว่าถ้าใกล้ครบกำหนด ผู้ออกควรเตรียมสภาพคล่องให้เพียงพอ และต้องยอมรับว่าอาจจะ roll over ไม่ได้ และมองว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปจากที่ผ่านมา มีการลงทุน B/E มากจนเกินไป จากที่คิดว่าไม่มีความเสี่ยง ตอนนี้กลับมาลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว มีความเสี่ยงน้อย หรือพันธบัตรรัฐบาลแทน และยังต้องติดตามสถานการณ์ตลอดเวลา
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนด้วยความสบายใจ แนะนำให้เลือกลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้
ไม่ว่าจะเป็นกองทุนเปิด หรือกองทุนประเภท Term Fund ที่เน้นตราสารที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตตั้งแต่ BBB ขึ้นไป
ซึ่งมีผู้จัดการกองทุน วิเคราะห์งบการเงินและคัดกรองตราสารหนี้ รวมทั้งติดตามผลประกอบการของบริษัทผู้ออก อย่างใกล้ชิด
ทั้งยังช่วยให้ผู้ลงทุนกระจายความเสี่ยง โดยใช้เงินลงทุนจำนวนน้อย แต่ได้ลงทุนในตราสารหลากหลายมากขึ้น
ขอบคุณแหล่งข่าว : ฐานเศรษฐกิจ