กลุ่มโรงพยาบาลเป็นกลุ่มที่นักลงทุนไทยให้ความสนใจมากในช่วงที่ผ่านมา แต่เนื่องจากหุ้นถูกเทรดกันด้วยราคาที่มีพรีเมียมจนดูเหมือนว่าราคาแพงเกินไปและปันผลที่ได้ก็ไม่คุ้ม หุ้นโรงพยาบาลจึงเกิดอาการไซด์เวย์ออกข้าง บางตัวก็กลับมาเป็นเทรนขาลงพร้อมกับการประกาศผลกำไรที่ไม่ได้โตอย่างที่คาดหวังเอาไว้
วันนี้เรามาดูหุ้น BH กันครับ ...
BH ดำเนินธุรกิจธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ภายใต้ชื่อ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล ในกรุงเทพมหานคร โดยมีการให้บริการทางการแพทย์ครบวงจรทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน รวมทั้งศูนย์บริการผู้ป่วยต่างชาติ และลงทุนในธุรกิจการแพทย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ
BH ขึ้นไปจุดสูงสุดที่ระดับราคา 260 บาท เมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา และราคาก็หุ้นก็ไหลลงอย่างต่อเนื่องเพราะผลประกอบการไม่ได้โตอย่างที่คาดเอาไว้ จนปัจจุบันนี้ราคาไหลลงมาแตะที่ราคา 180 บาท ไม่เพียงแค่ BH เพียงตัวเดียว แต่เป็นกันทั้งกลุ่มไม่ว่าจะเป็น BDMS หรือ BCH ก็ตาม
เมื่อไตรมาส 1 ที่ผ่านมา BH ประกาศผลประกอบการที่ 1 พันล้านบาท มากกว่าไตรมาส 1 ปี 2559 ที่กำไร 977 ล้านบาท ถือว่าเติบโตขึ้นแต่ก็ไม่ได้ดังคาดที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนคาดการณ์กันเอาไว้
ROA และ ROE อยู่ที่ 25% ถือว่าอยู่ในระดับสูง Net Margin ของบริษัทอยู่ที่ 22% ถือว่าบริษัททำกำไรได้ดีมาก จึงไม่แปลกใจที่ค่า P/E ของบริษัทสูงถึง 35 เท่า และ P/BV ที่ 8 เท่า
มาดูบทวิเคราะห์กันบ้าง
บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วานนี้ว่า คาดกำไรสุทธิของ BH ในไตรมาส 2/60 จะอยู่ที่ 914 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และคาดรายได้จะอยู่ที่ 4.38 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากงวดปีก่อน
ฝ่ายวิจัยพบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจากยุโรป สหรัฐ เอเซียใต้ และตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2/60 และคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะยังแข็งแกร่งอยู่ที่ 42.0% จาก 41.2% ในงวดปีก่อน ทั้งนี้ คาดสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติ ต่อผู้ป่วยชาวไทยจะยังคงเท่าเดิม อยู่ที่ 64%:36% ในไตรมาสนี้
แนะนำซื้อ ในราคาเป้าหมายที่ 210 บาท คาดรายได้ของ BH ปี 60-61 จะโต 8% และ 10% โดยมีกำไรสุทธิ 3.99 พันล้านบาท และ 4.48 พันล้านบาท จากอัตรากำไรแข็งแกร่งจากผู้ป่วยที่มี intensity สูง และบริษัทสามารถคุม SG&A ได้ดี รวมถึงสถานะการเงินก็ยังแข็งแกร่ง
บล.บัวหลวง เชื่อการบริหารต้นทุนและประสิทธิภาพในการดำเนินงานจะช่วยให้อัตรากำไรขยายตัวได้ แม้จะอยู่ในช่วง Low Season ทำให้มองว่ากำไรไตรมาส 2/60 จะโต 12-15% จากงวดปีก่อน ซึ่งมากกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ก่อนหน้าที่ 3%
ฝ่ายวิจัยตัวเลขผู้ป่วยตะวันออกกลางเดือนก.ค.-ก.ย. จะปรับตัวดีขึ้น 30-35% จากช่วงเดียวกันปีก่อน หนุนกำไรไตรมาส 3/60 เติบโต ขณะที่ราคาหุ้นทรดอยู่ในระดับพี/อี เรโช(PER) เพียง 33.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ Global ที่ 36.1 เท่า แนะนำซื้อ หุ้น BH ในราคาเป้าหมาย 212 บาท
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส มองภาครัฐประกาศระยะเวลาให้กับคนไข้ชาวต่างประเทศในกลุ่ม CLMV และประเทศจีนเป็น 90 วัน จากเดิม 30 วัน ผลกระทบด้านบวกกับโรงพยาบาลที่เน้นคนไข้ชาวต่างประเทศ คือ BDMS และ BH สำหรับ BDMS มีสัดส่วนรายได้เทียบกับรายได้รวมจาก CLMV และประเทศจีน เป็น 4% และ 1.5% ตามลำดับ
ส่วน BH มีสัดส่วนจากเมียนมาร์ที่ 9% แต่ไม่เปิดเผยรายได้จากประเทศอื่นๆ
คาดว่าจะเป็น sentiment ด้านบวกกับหลักทรัพย์ แต่ผลกระทบต่อกำไรกลับเป็นแค่จำกัด เพราะเดิมระยะเวลา 30 วันก็อยู่ในเกณฑ์ที่เพียงพอแล้ว เช่น BDMS ใน 1Q60 มีค่าเฉลี่ยเวลาที่รักษาเพียง 3.6 วัน
ยังคงแนะนำถ่วงน้ำหนักน้อย (underweight) สำหรับหลักทรัพย์ในกลุ่มการแพทย์
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ขอบคุณบทวิเคราะห์หลักทรัพย์บัวหลวง ดีบีเอสวิคเคอร์ส และเคจีไอ(ประเทศไทย), efinance Thai และ www.set.or.th