เมื่อค่าเงินบาทแข็งโป๊ก!
หุ้นกลุ่มไหน ได้ / เสีย ประโยชน์
.ค่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่า โดยล่าสุดวันที่ 9 ก.ย. 2568 ค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 31.64–31.66 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 4 ปี จากแรงหนุนเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดการเงินไทย และการอ่อนค่าของดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ จากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน และผลจากราคาทองคำในตลาดโลกที่สูงขึ้น
.ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบต่อธุรกิจแต่ละกลุ่มต่างกันออกไป โดยกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลบวกคือ กลุ่มที่มีหนี้เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะเดียวกันบริษัทที่มีการส่งออกอย่างอาหารและอิเล็กทรอนิกส์น่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลในเชิงลบ
.โดยบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินอุตสาหกรรมและหุ้นที่จะได้รับผลบวกจาก “ค่าเงินบาทแข็งค่า” ดังนี้

.
1.กลุ่มสายการบิน THAI, AAV, BA ซึ่งมีสัดส่วนค่าใช้จ่าย เช่น ค่าน้ำมัน, ค่าเช่าเครื่องบิน และ ค่าซ่อมแซม เป็นดอลลาร์สหรัฐฯ จะสูงกว่ารายได้การขายตั๋วเครื่องบินในต่างประเทศเล็กน้อย
.
2.กลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากมีเงินกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้มีการบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Unrealized FX Gain) เข้ามา อย่างไรก็ตาม รายการดังกล่าวเป็นเพียงรายการทางบัญชีและไม่ได้มีผลกระทบต่อกระแสเงินสด โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากประเด็นดังกล่าวประกอบด้วย GULF, BGRIM, GPSC
.
3.กลุ่มพลังงาน เนื่องจากมีฐานะการลงทุนสุทธิเป็นบวก (Positive net exposure) ต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อสกุลเงินบาท จากการมีเงินกู้เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้อาจจะมีการบันทึก Unrealized FX Gain สำหรับ TOP และ PTTGC ขณะที่ผลกระทบต่อ PTTEP และ SPRC น่าจะมีจำกัดเพราะมีการใช้ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดำเนินงาน (Functional Currency)
.
ส่วนอุตสาหกรรมและหุ้นอื่นที่จะเสียประโยชน์จาก “ค่าเงินบาทแข็งค่า” คือ 1) กลุ่มอาหาร เนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่จากต่างประเทศ โดยเรียงลำดับการแข็งค่าทุก 1 บาท จะส่งผลกระทบต่อกำไรลดลง SUN -8%, ITC -8%, TU -7%, AAI -6% และ SAPPE -5%
.
2) กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออกต่างประเทศ โดยเรียงลำดับการแข็งค่าทุก 1 บาท จะส่งผลกระทบต่อกำไรลดลง KCE -6% และ HANA -5%
.
3) อุตสาหกรรมอื่นที่ได้ผลกระทบเชิงลบจากค่าเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออก ได้แก่ SAV มีรายได้และค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นเงินสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยประเมินทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า จะทำให้กำไรลดลง 3% และ PRM มีรายได้และค่าใช้จ่ายเป็นเงินสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ใกล้เคียงกัน ประเมินทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า จะทำให้กำไร ลดลง 2%-3%
ที่มา. Wealthy Thai