‘ดีพีเอ’การันตีแบงก์ไทยปึ้ก ยันฐานะแกร่งกว่าปี40-มั่นใจโควิดไม่สะเทือน
สถาบันคุ้มครองเงินฝาก มั่นใจระบบ “แบงก์ไทย” แข็งแกร่ง สะท้อนผ่านเงินกองทุนที่เข้มแข็ง สภาพคล่องสูง อีกทั้ง “ดีพีเอ” ยังมีเงินสะสมไว้ดูแลกว่า 1.29 แสนล้าน รองรับกรณีฉุกเฉินได้ ด้าน “นักเศรษฐศาสตร์” มั่นใจ “กันชน” แบงก์ปึ้ก รับมือกรณีเกิดปัญหาได้
สถาบันคุ้มครองเงินฝาก(สคฝ.) หรือ DPA ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของสถาบันการเงินไทย โดยมั่นใจว่าจะรับมือกับวิกฤติที่เกิดจากโควิด-19 ได้ เนื่องจากเงินกองทุนของสถาบันการเงินแต่ละแห่งอยู่ในระดับสูงและมีสภาพคล่องที่เพียงพอรองรับกับภาวะวิกฤติได้
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้อำนวยการ สคฝ. กล่าวว่า การที่ธนาคารพาณิชย์รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ร่วมกันออกมาตรการดูแลลูกหนี้ล่วงหน้าก่อนที่ลูกหนี้เหล่านี้จะมีปัญหาจนกลายเป็นหนี้เสีย ทำให้เชื่อว่า ปัญหาหนี้เสียในระบบจะไม่รุนแรงเท่ากับช่วงปี 2540 ประกอบกับฐานะการเงินของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันถือว่ามีความแข็งแกร่งอย่างมากสะท้อนผ่านเงินกองทุนที่อยู่ระดับสูง
"วันนี้เงินกองทุนของแบงก์อยู่ในระดับสูง จึงเชื่อว่าปัญหาจากโควิด-19 คงไม่ทำให้แบงก์ไทยไปถึงจุดที่มีปัญหา และโอกาสเกิดปัญหาก็น้อยมาก ดังนั้นไม่ต้องกังวลมาก เพราะหากกังวลมากอาจทำให้เขามีปัญหาก็ได้ และเรายังมี สคฝ. ซึ่งทำหน้าที่คุ้มครองเงินฝากอยู่ โดยเราได้เตรียมความพร้อมเพื่อช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา เปรียบเหมือนนักดับเพลิง หากไม่มีเพลิงไม่ต้องใช้ แต่ถ้ามีปัญหาก็ไม่ต้องกังวล เพราะเรามีนักดับเพลิงไว้พร้อมรับมือแล้ว”
อย่างไรก็ตาม หากดูสภาพคล่องของ DPA ปัจจุบัน มีเพียงพอเพื่อใช้รองรับ กรณีแบงก์เกิดปัญหาหรือมีการถอนใบอนุญาต โดย DPA มีเงินกองทุนสะสม ตลอดในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา ถึง 1.29 แสนล้านบาท มาจากเงินนำส่งของธนาคารพาณิชย์เข้า DPA ในอัตรา 0.01% ของเงินฝากทั้งหมด ซึ่งเฉลี่ยต่อปี DPA จะมีเงินนำส่งอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท และแต่ละปี DPA ได้นำเงินสะสมไปลงทุนต่อในพันธบัตรรัฐและพันธบัตรธปท. ทำให้ได้ผลตอบแทนกลับมาปีละ 2 พันล้านบาท
ปัจจุบันมีผู้ฝากเงินในระบบธนาคารพาณิชย์ ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของ DPA รวมที่ 80.82 ล้านราย หรือราว 14.67 ล้านบาท โดยกว่า 98% เป็นผู้ฝากเงินรายย่อย ที่มีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท
นายทรงพล กล่าวด้วยว่า ปัจจุบัน DPA อยู่ระหว่างศึกษาเพื่อขยายการคุ้มครองเงินฝากไปสู่ เงินอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีมันนี่ ซึ่งคาดว่าจะศึกษาเสร็จภายในไตรมาส4ปีนี้ โดยเชื่อว่ามีโอกาสที่จะขยายการคุ้มครองได้ เนื่องจากอีมันนี่ หรืออีวอลเล็ตต่างๆถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ เพราะกฎเกณฑ์ของธปท.ที่กำหนดไม่ให้ กลุ่มธุรกิจดังกล่าวนำเงินของประชาชนไปลงทุนหรือปล่อยสินเชื่อได้
นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics กล่าวว่า หากดูความแข็งแกร่งของระบบธนาคารพาณิชย์ เชื่อว่ามีความแข็งแกร่งสูงมาก เมื่อเทียบกับปี 2540 ปัจจุบันระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุน ณ สิ้นไตรมาส 2ปี 2563 อยู่ที่ 2.9ล้านล้านบาท เทียบกับปี 2540 ที่เงินกองทุนแบงก์มีเพียง 4.6แสนล้าน ซึ่งเงินกองทุนที่ 2.9 ล้านล้านบาท เชื่อว่ารองรับการเกิดเอ็นพีแอลได้ถึง 21%
หากคิดเป็นสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั้งระบบสูงถึง 19% หรือกรณีที่คนวิตกกังวล จนเกิดการถอนเงินฝาก ก็เชื่อว่าระบบสามารถรองรับได้ เพราะสินทรัพย์สภาพคล่องทั้งระบบมีสูงถึง 4.8 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น28% ของสินทรัพย์ทั้งหมดของระบบ หรือ การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของสถาบันการเงิน หรือLCRเพื่อรองรับปัญหาสภาพคล่องที่รุนแรง มีสูงถึง 183% ดังนั้นวันนี้ แบงก์แข็งแกร่งมาก
“เรามีบัพเฟอร์หลายก้อนมาก ในการรองรับวิกฤติ ก้อนแรก คือ แบงก์มีการปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกค้าล่วงหน้าอย่างเชิกรุก เหล่านี้จะป้องกันไม่ให้หนี้เสียทะลักเข้ามาตูมเดียว แม้จะเพิ่มแต่จะค่อยเป็นค่อยไปทำให้แบงก์บริหารจัดการได้ง่าย กันชนที่สอง แบงก์มีกำไรสูง ปีนี้คาดว่าแบงก์น่าจะมีกำไรอยู่ที่กว่า 1 แสนล้านบาท หากเกิดวิกฤติอะไรขึ้นมา เหล่านี้จะกินทุน หรือกินกำไรแบงก์ให้หายไปก่อน และกันชนที่สามคือ BIS ที่สูงถึง 2.9 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นบัพเฟอร์หลายก้อนที่รองรับวิกฤติได้เยอะมาก”
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก