นั่งอ่านข่าวสรุปตลาดหุ้นในรอบปีของอเมริกาแล้วก็มานั่งทำตาปริบ ๆ เพราะดัชนี Dow Jones เพิ่งจะทำจุดสูงสุดใหม่เป็นจำนวน 71 ครั้งในปี 2017 เรียกได้ว่า “High แล้ว High อีก … High แบบอินเซปชั่น” และก็แอบหวังเล็ก ๆ ในใจว่าบ้านเราจะเป็นแบบนั้นบ้าง … ซึ่งไม่รู้ว่ามันเป็นความบังเอิญหรือตั้งใจ กับการที่ SET Index ขยับปรับตัวเข้าใกล้จุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 1,789.16 จุด ซึ่ง SET เคยไปสถิตอยู่ที่จุดนี้เมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2537 หรือเกือบ 24 ปีที่แล้วนั่นเองครับ …
“และนั่นคงเป็นเรื่องเหลือเชื่อสุด ๆ ถ้า SET จะทำจุดสูงสุดใหม่ในวันที่ 5 มกราคม 2561”
ซึ่งพอนับจากจุดนี้ ก็เหลืออีกเพียง 46 จุด หรือประมาณ 2-3% เท่านั้นเองครับ น่าลุ้นสุด ๆ แต่ในขณะที่บางคนก็ยังแอบคิดว่า “ครั้งล่าสุดที่เราไปถึง 1,789 นั้น 2 ปีให้หลังเราก็ได้รู้จักกับวิกฤตเศรษฐกิจเป็นครั้งแรก” แล้วอย่างงี้ประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอยหรือเปล่า? มันจะหัวทิ่มอีกไหม? หรือจะ All time high ต่อเนื่องแบบ Dow Jones? วันนี้ผมจึงลองรวมรวมเหตุผลต่าง ๆ ที่จะช่วยตอบคำถามว่า All time high ที่เรารอคอยจะเกิดขึ้นหรือไม่?
ครั้งนี้ … ปู่ SET ไม่ได้มาเล่น ๆ
เพราะลองย้อนไปดูครั้งนี้เทียบกับครั้งก่อนนั้นแตกต่างกัน เมื่อตอนปี 37 หรือ 24 ปีก่อน SET Index ใช้เวลาไม่ถึง 7 ปี ขยับดัชนีจาก 200 จุดมาถึง 1,789 และในขณะที่มีหุ้นเทรดอยู่ไม่ถึง 300 ตัว กับ Market Cap. อีกราว ๆ 3 ล้านล้านบาท ซึ่งตอนนั้นเราขึ้นมาด้วยความเฟ้อ มันจึงต้องลงเอยด้วยวิกฤตเศรษฐกิจ ต่างกันกับวันนี้ที่มีหุ้นเทรดกันอยู่ 600 ตัว ด้วย Market Cap. อีก 17 ล้านล้านบาทด้วยกัน แถมรอบนี้กว่าจะฟื้นวิกฤตปี 40 ที่ลงไปกองแถว ๆ 200 จุดจนมาถึงทุกวันนี้ ก็ใช้เวลาร่วม ๆ 19 ปีด้วยกัน ฉะนั้นรอบนี้ไม่ได้มาเพราะความเฟ้อแน่นอน แต่เติบโตด้วยพื้นฐานของเศรษฐกิจจริง ๆ ครับ
ยืนยันอีกครั้งว่าไม่ได้เฟ้อ
ถ้านับย้อนหลังไป 10 ปีที่ผ่านมา Market Cap ของ SET Index เติบโตขึ้นมา 153% ซึ่งถ้าแยกเป็นหุ้นใหญ่ หุ้นเล็กจะเห็นชัดเจนว่าโตกันทั้งกลุ่มทั้งก้อน ไม่ได้ไปหนักที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ ผมลองไปย้อนดูกำไรของบริษัทจดทะเบียน ในช่วงปี 2540 เทียบกับปี 2560 พบว่าในช่วงปี 40 มีบริษัทในตลาดหุ้นไทยประมาณ 58% เท่านั้นที่ยังมีกำไร ที่เหลือขาดทุนหมด (หลังประกาศลอยตัวค่าเงินเหลือบริษัทมีกำไรแค่ 27%) ในขณะที่จบไตรมาส 3 ของปีนี้ บริษัทที่มีกำไรคิดเป็นเกือบ 80% ฉะนั้นนี่ช่วยยืนยันว่ารอบนี้เราเติบโตด้วยพื้นฐานจริง ๆ ครับ
ไร้สัญญาณของวิกฤตเศรษฐกิจ
ลองมาดูข้อมูลที่เป็นดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจต่าง ๆ อย่าง ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) ซึ่งเป็นเหมือนบัญชีที่แสดงว่าในแต่ละปีประเทศเรามีกระแสเงินคงเหลือสุทธิเป็นบวกหรือลบ (คำนวณจากดุลการค้า ดุลบริการ เงินโอน) ที่เมื่อตอนปี 40 ดุลบัญชีเดินสะพัดของบ้านเราสวนทางกับดัชนีตลาดหุ้นมาตลอด คือหุ้นขึ้นเรื่อย ๆ แต่ดุลบัญชีเดินสะพัดก็ติดลบเรื่อย ๆ ต่อเนื่องหลายปี จนมาพีคสุด ๆ 14,350 ล้านดอลลาร์ (ไม่มีใครอยากถือเงินบาทเลย) ในขณะที่บ้านเรากำหนดอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ไว้ที่ 25 บาท/ดอลลาร์ เลยเกิดเป็นช่องว่างให้คนมาโจมตีค่าเงิน สุดท้ายต้องยอมมอบตัว … ลอยตัวค่าเงินบาท
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ที่ตอนนั้นบริษัทห้างร้านต่าง ๆ มีหนี้ต่างประเทศท่วมหัว เพราะก่อนหน้านั้นดันเปิดเสรีหนี้สินต่างประเทศอีก … แต่วันนี้ไม่แล้วครับ … เพราะดุลบัญชีเดินสะพัดของบ้านเราเป็นบวกต่อเนื่องมาหลายปี อาจจะมีลบบ้างในบางปี แต่โดยรวมแล้วดีกว่าเยอะครับ เช่นเดียวกับเรื่องหนี้สิน ที่บรรดาบริษัทจดทะเบียนในตลาดระมัดระวังมากขึ้น ทำให้ล่าสุดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.9 เท่า เทียบกับอัตราหนี้สินต่อทุนของปี 40 ก่อนประกาศลอยตัวเงินบาท จะอยู่ที่ 3.8 เท่า และหลังลอยตัวอยู่ที่ 8.9 เท่า !!! จึงเป็นเหตุผลที่น่าจะช่วยให้ทุกท่านสบายใจได้ว่า “บ้านเราคงไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจเร็ว ๆ นี้แน่ครับ”
ปีหน้าใคร ๆ ก็ว่าเศรษฐกิจไทยยังโต
ไล่เรียงกันตั้งแต่กระทรวงการคลัง หอการค้าไทย สภาพัฒน์ฯ ไปจนถึงบรรดาธนาคารน้อยใหญ่ ต่างก็ออกมาคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้า GDP น่าจะยังโตต่อเนื่องจากปีนี้ โดยมีกรอบคาดการณ์อยู่ราว ๆ 3.8-4.0% ครับ ซึ่งก็สอดคล้องกับมุมมองการลงทุนการลงทุนของฝ่ายวิจัย ของหลักทรัพย์บัวหลวง ที่มองว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้ายังคงโตต่อเนื่อง โดยมองกรอบหุ้นไทยอยู่ราว ๆ 1,742 จุดกรณีเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโตปกติ ถึง 1,814 จุดหากเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโตมากกว่าที่คาด โดยมีประเด็นด้านการลงทุนที่สำคัญดังนี้ครับ
- การฟื้นตัวของหลาย ๆ อุตสาหกรรมในประเทศ ไม่ว่าจะกลุ่มสถาบันการเงิน ที่น่าจะเติบโตไปตามแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น / กลุ่มธุรกิจพาณิชย์ ที่ยอดขายน่าจะกลับมาฟื้นตัว / กลุ่มสื่อ กับประเด็นการเติบโตของค่าโฆษณา และกลุ่มยานยนต์ ที่หลังจากหมดหนี้หมดสินกับรถยนต์คันแรก ก็จะกลับมาชอปปิ้งรถยนต์กันอีกครั้ง ครับ
- การประมูลคลื่นความถี่ของบรรดาค่ายมือถือต่าง ๆ โดยในปีหน้าจะมีทั้งคลื่น 1,800 / 850 / 2,600Mhz ต่อแถวเรียงคิวกันมาประมูลกัน เช่นเดียวกับกลุ่มรับเหมา ที่จะมีงานก่อสร้างของโครงการรถไฟรางคู่ / ความเร็วสูง หลายเส้นทางที่จะออกมาประมูลกันครับ ประเด็นนี้น่าจะทำให้กลุ่มสื่อสารและรับเหมาคึกคักกันตลอดทั้งปี
- เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า แน่นอนว่าจากการปรับเพิ่มขึ้นดอกเบี้ยของอเมริกา น่าจะทำให้เงินบาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลง และเป็นประเด็นหนุนให้กับกลุ่มที่ทำธุรกิจส่งออกครับ
จากประเด็นหลาย ๆ อย่างที่ว่ามานั้น ส่วนตัวผมเองก็เชื่อว่าปีหน้าอาจเป็นปีที่เราทุกคนนักลงทุนไทยทั้งเก่าและใหม่รอคอยอยู่ กับการจะได้เห็น SET Index ทำจุดสูงสุดใหม่เสียทีครับ …….
แต่สุดท้ายแล้วเรื่องของดัชนีก็เป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น เพราะการลงทุนจะประสบความสำเร็จหรือไม่มันจะเป็นเรื่องของตัวบริษัทละครับ ฉะนั้นอย่าลืมให้ความสำคัญกับข้อมูลของหุ้นที่คุณชอบ หมั่นดูกราฟ ตรวจเช็คงบการเงิน กำริกำไรว่าเป็นไปตามที่คาดไหม น่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดแล้ว … #สวัสดีปีใหม่ 2561
ขอบคุณบทความ : บล.บัวหลวง โดยคุณ ปริพรรห์ ปริยอุดมทรัพย์ CFP®