ห้องเม่าปีกเหล็ก

ผ่าปม “ทรัมป์” ป่วนจีน

โดย poomai
เผยแพร่ :
114 views

ผ่าปม “ทรัมป์” ป่วนจีน เพราะ “เมดอินไชน่า2025 – BRI”

 

 

นักวิชาการ ย้อนประวัติประเทศจีน ยุคอดีตถึงปัจจุบัน ชี้ เมดอินไชน่า2025 และ BRI คือ สาเหตุที่ทำให้ "ทรัมป์" ต้องเข้ามาตอบโต้

 

เมื่อวันที่ 31 ส.ค. สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสถานทูตจีนประจำประเทศไทย จัดโครงการ "โครงการมองจีนยุคใหม่ ความท้าทายที่สื่อไทยควรรู้" ที่โรงแรมอโนมาแกรนด์ โดยเชิญนัดวิชาการมาร่วมในเวทีเสวนา

 

ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จะขอแบ่งจีนออกเป็นสามยุคคือช่วง 1839 ซึ่งเป็นยุคจีนเก่าที่ถูกเรียกว่าเป็นศตวรรษแห่งความอดสู คนจีนติดฝิ่นงอมแงม เกิดสงครามฝิ่นครั้งแรก จนมาถึง 1949 ที่เป็นจีนยุคกลาง ตั้งแต่สมัย เหมา เจ๋อ ตง ที่ทำให้คนจากยุคอดอยากปากแห้ง เป็นยุคพอมีพอกิน จนสู่ยุคเหลือกินเหลือใช้ กลายเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ ปี 2007 แซงญี่ปุ่นขึ้นเป็นเบอร์สองเศรษฐกิจโลกและกลายเป็นเบอร์หนึ่งในที่สุด จนกระทั่งมาถึงยุค New Normal ที่จีนต้องมาปรับเปลี่ยนไปสู่จีนยุคใหม่ เป็นการปฏิรูปภายใต้การนำของ สีเจิ้นผิง เป็นความคิดสังคมนิยมเชิงอัตลักษณ์ มีนโยบาย Made in China 2025 และ Belt and Road Initiative (BRI) ที่เป็นแนวทางการลงทุนอาเซียน เสริมพันธมิตรในภูมิภาคอาเซียน

 

“จีนปรับตัวเยอะมากในการเข้าสู่ยุคนิวนอร์มอลในช่วงที่ผ่านมา 1978-2008 จีนโตเหมือนวัยรุ่น มีฮอร์โมน พลุ่งพล่าน เจริญเติบโตรวดเร็วแต่บางทีก็เหมือนคนอารมณ์ร้อนมีไปสร้างรอยแผลเป็นบ้าง แต่ตอนนี้จีนเข้าสู่วันเวลาที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีความสุขุมคัมภีร์ภาพ อาจจะโตไม่เร็วแบบเดิมแต่เป็นการโตแบบมีคุณภาพแต่เป็นการเติบโตไปพร้อมๆกันทั้งอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม”

 

ผศ.ดร.ปิติ กล่าวว่า เมื่อพูดถึงสองโครงการหลัก เมดอินไชนา2025 มีวัตถุประสงค์หลักต้องการให้ 60% ของจีดีพีเป็นการกินใช้ภายในประเทศ ซึ่งจะต้องย้อนกลับมาดูที่ด้านดีมานด์ไซส์ ต้องทำให้คนจีนรวยก่อนพอรวยแล้วก็ซื้อของจีน จึงต้องทำให้เป็นของมีคุณภาพให้เจ้าของแบรนด์เนมมาลงทุนรัฐบาลจีนให้การสนับสนุนแต่คุณจะต้องมาตั้งสำนักงานใหญ่ที่จีนและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ จนทำให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ต้องออกมาตอบโต้ อีกด้านหนึ่งจีนต้องการเข้าถึงทรัพยากรและตลาดทำให้ต้องสร้างพันธมิตรใหม่ ผ่านสิ่งที่เรียกว่า BRI เชื่อมโยง เมืองใหญ่ ด้วยถนน รถไฟ ท่าเรือ เชื่อมทั้งโลก

 

ก่อนหน้านี้เริ่มมีการพูดถึงจีนยุคใหม่ จีนแห่งอนาคต ซึ่งพูดครั้งแรกสมัย เจียง เจ๋อ หมิน เรื่อง “ความฝันแห่งจีน” ช่วงปี 1999-2000 โดยตั้งเป้าว่า ปี 2021 ในวาระครอบ 100 ปี พรรคคอมมิวนิสต์ คนจีนต้องกินดีอยู่ดีรายได้เฉลี่ย 10,000 หยวนต่อคนต่อปี จากเดิม 5,000 หยวน และปี 2049 ครบ 100 ปี แห่งการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งเป้าที่จะต้องเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่สังคมเข้มแข็งทันสมัย มีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนอย่างสมบูรณ์ภายใต้นโยบายจีนเดียว

 

ผศ.ดร.ปิติ กล่าวว่า การอยู่ในตำแหน่งของ สี เจิ้น ผิง อย่างต่อเนื่อง ทำให้สื่อตะวันตกมองว่าเป็นความพยายามทำให้เกิดระบบจักรพรรดิขึ้นมาใหม่ ซึ่งจีนเองก็ต้องการอย่างนั้น จึงต้องหาวิธีแก้ปัญหาด้วยการทำระบบคานอำนาจใหม่ จากที่มีอำนาจมี 5 เสา ก็เพิ่มเสาที่ 6 ขึ้นมาคือคณะกรรมการกำกับดูแลด้านการทุจริตแห่งชาติ เพราะคนที่จะมีอำนาจยาวต้องมีกระบวนการตรวจสอบการทุจริต ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดนี้จะมีอำนาจสามารถเข้าไปสอบวิสาหกิจที่อยู่ภายนอกประเทศจีนได้ อย่างเช่นรถไฟในลาวที่ก่อสร้างช้าเพราะมีปัญหาเรื่องรัฐมนตรีถูกตรวจสอบเรื่องคอรัปชั่นซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิตจนเมื่อเคลียร์ปัญหาเสร็จก็สามารถเดินหน้าคิกออฟ ปี 2013 และสองปีก็เสร็จ โดยสิ่งที่จะทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนล้มก็คือประชาชนจีน

 

ผอ.ศูนย์อาเซียนศึกษา ระบุว่า จีนมีระบบไชนนา เกรท ไฟร์วอลล์ ที่ไม่ให้เข้าถึงอำนาจอธิปไตยบนโลกไซเบอร์ โดยจะมีระบบต่างๆ เหมือนกับที่สากลมีแต่เป็นของจีน ทั้งระบบช็อปปิ้งออนไลน์ การเงินออนไลน์ ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เรียกแท็กซี่ ภายใต้บริษัทอาลีบาบา( alibaba ) ที่นำไปสู่เรื่อง “โซเชียล เครดิต เรทติ้ง” หรือ Sesame Credit by Alibaba (AFSG) ที่เชื่อมโยงประวัติการจ่ายค่าบ้าน ค่ารถ บัตรเครดิต ย้อนไปดูว่าในอดีตจ่ายตรงเวลา จ่ายขั้นต่ำอย่างไร บ้านอยู่ในพื้นที่คนจนคนรวย มีพฤติกรรมการซื้อของอย่างไร ตรงนี้จะถูกนำไปประเมินเป็นโชเชียล เครดิต เรทติ้ง

 

“ยกตัวอย่างเช่น หากมีเรทติ้งเท่านี้คะแนนจะสามารถกู้เงิน 5000 หยวนได้โดยไม่ต้องยื่นเอกสารหลักฐาน หรือเช่ารถโดยไม่ต้องวางมัดจำ แต่อีกด้านหนึ่งคนที่มีพฤติกรรมไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลอยากให้เป็นเรทติ้งต่ำก็อาจเข้าถึงการใช้บริการบางอย่างไม่ได้ เช่นใช้บริการธุรกิจบางประเภท สนามกอล์ฟ ร้านอาหาร ประกันภัย หรือ ห้ามออกนอกประเทศ”

 

จีนลงทุนด้านนวัตกรรมมานาน กำลังเริ่มเห็นผลเวลานี้

 

นายโจ ฮอร์น พัทธโนทัย กรรมการอำนวยการ บริษัท Strategy 613 กล่าวว่า นิวไชน่า เป็นโอกาสและความท้าทายที่อัตราการเติบโตลดลง ต้องปรับเปลี่ยนฐานเศรษฐกิจจากการส่งออกเป็นการบริโภคภายใน จึงหันมาสู่การพัฒนานวัตกรรมที่ลงทุนมานานแล้วกว่าจะเห็นผลวันนี้ เช่นเรื่อง ควอนตัมฟิสิกส์ ที่เขาได้งบมาตั้งแต่ 1997 และกำลังเห็นผลการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ จีนมองประเทศเหมือนบริษัทที่มาร์จินโดนบีบ ให้ขายถูกลง ซื้อแพงขึ้น วิธีแก้ก็คือขยายมาร์จินไปยังอัพสตรีม ทั้งเรื่อง เทคโนโลยี เหมือง หรือ ดาวสตรีมคือ ดิสทริบิ้วชั่น ซึ่งจีนมีความแข็งแกร่ง มีความสามารถในการก่อสร้างทั้งระบบราง สะพาน อุโมงค์ จนมียอดกการก่อสร้างรถไฟเร็วสูง ถนน ทางด่วนเป็นอันดับต้นของโลก แต่เขาสร้างภายในประเทศหมดแล้วไม่สามารถทิ้งให้บริษัทเหล่านั้นหยุดทำงานได้ BRI จึงเป็นส่วนที่จะไปขยายไปยังประเทศอื่น

 

นายโจ ฮอร์น กล่าวว่า ระบบของจีนจะมีสมัชชาผู้แทนจีน หรือ NPC ทำหน้าที่คล้ายสภาของเรา 200 กว่าคน โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็จะมีกลไกการคัดเลือกหัวกระทิเข้ามาทำงานซึ่งจะเห็นว่าบุคลการตั้งแต่ระดับมณฑลที่เลือกเข้ามาทำงานจะมีความเก่ง และทำงานหนักมากประมาณ 16 ชม. ต่อวัน เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ดี ซึ่งถือเป็นจุดแข็ง

 

สำหรับเรื่องสงครามการค้าจีน อเมริกา ก็ยังเป็นปัญหาเพราะเรื่องโทรศัพท์ของจีนข้างในก็เป็นชิปส์ที่ไม่ได้ผลิตจากจีน และขณะเดียวกันของชิปส์อเมริกาที่นำมาใช้ก็มาจากจีน การที่สองประเทศนี้มาบล็อกกันเรื่องไฮเทคก็เป็นเรื่องยากที่จะแยกระบบก้นได้ขาด จีนจึงต้องหันไปพัฒนานวัตกรรมที่ต้องการเอาชนะเรื่องเอไอ ซึ่งอุตสาหกรรมผลิตเอไอที่ดีที่สุดคืออุตสาหกรรมเกมซึ่งถือเป็นอาวุธลับของจีน การจะไปโฟกัสเพียงแค่เรื่อง 5G จึงอาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญเพราะเป็นเพียงแค่กลไกที่จะเข้าไปถึงเทคโนโลยีอื่นอย่าง IoT

 

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


poomai