ห้องเม่าปีกเหล็ก

หุ้น Anti-commodity กำลังเปล่งประกาย

โดย โจ๊กเกอร์
เผยแพร่ :
418 views

หุ้น Anti-commodity กำลังเปล่งประกาย

เมื่อราคาน้ำมันไม่กดดันต้นทุนอีกต่อไป

.

ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก นักลงทุนเกิดวิตกว่า อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย และส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันชะลอตัว ดังนั้นเมื่อราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง ย่อมมีหุ้นที่ได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์ โดยในบทความนี้ Wealthy Thai ได้รวบรวมหุ้นที่ได้ผลบวก และราคายังอยู่ในโหมดที่น่าเข้าลงทุนหรือไม่

.

มุมมองของนักวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ในปี 2565 ราคาน้ำมัน WTI เคยขึ้นไปกว่า 73.5% ส่วนหนึ่งเกิดจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน อย่างไรก็ตามในช่วงปลายไตรมาส 2-3/65 ราคาน้ำมันย่อตัวลงมาเร็วจนกลับมาอยู่ในระดับใกล้ๆกับช่วงต้นปี ซึ่งถูกกดดันด้วย 3 ปัจจัยหลักๆ ดังนี้

.

1.ธนาคารกลางแห่งสหรัฐฯ หรือ เฟด เร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ 0.75% ทั้ง 3 รอบการประชุม และครั้งหน้าเดือน พ.ย. มีโอกาสเร่งขึ้นต่อ

.

2. ความกังวลเศรษฐกิจชะลอ ล่าสุดองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ปรับ GDP โลก ปี 2566 ลงจาก 2.8% เหลือ 2.2%

.

3.สกุลเงินดอลลาร์แข็งขึ้นมาเร็ว ล่าสุดแข็งค่าเกือบ 20%เป็นส่วนหนึ่งที่กดดันราคา Commodity

.

จากราคาน้ำมันหรือราคา Commodity ที่ลงมาเร็วในช่วงไตรมาส 3/65 ฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการค้นหาหุ้น Anti-Commodity ราคา Laggard โดยเลือกเฉพาะ หุ้นที่ราคานับจากต้นปีถึงปัจจุบันยังติดลบ และยังฟื้นขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของปีได้ไม่มาก อย่าง OSP, CBG, KEX, GPSC, EPG, BGC, TASCO, BGRIM หุ้นดังกล่าวน่าจะได้รับ Sentiment เชิงบวกมากขึ้น และสามารถเก็งกำไรในช่วงสั้นได้

.

สำรวจปัจจัยพื้นฐาน

GPSC

บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า หุ้นเด่น สวยทุกมุมมอง ราคาน่ารัก โดยอีกหนึ่งในหุ้น anti-commodity ที่คาดจะได้ sentiment เชิงบวกจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเข้าสู่ช่วงขาลง และคาดจะส่งผลให้ต้นทุนก๊าซฯ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักปรับตัวลงตามในอนาคต

.

โดยแนวโน้มกำไรไตรมาส 3/65 คาดฟื้นตัวได้บ้างเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน เนื่องจากแรงหนุนของส่วนแบ่งกำไรโรงไฟฟ้า XPCL ที่เข้าสู่ช่วงฤดูกาลน้ำ รวมถึงการปรับขึ้นค่า Ft งวด ก.ย. - ธ.ค.ขึ้นอีก 68.7 สตางค์/หน่วย แต่ยังมีปัจจัยกดดันหลักมาจากราคาพลังงานที่คาดจะปรับตัวสูงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน

.

ขณะที่ราคาหุ้นปรับฐานลงมาแล้วระดับหนึ่ง แนะนำหาจังหวะทยอยสะสมลงทุน สำหรับการเติบโตในระยะยาว โดยให้คำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 80 บาท

.

EPG

บล.กรุงศรี ระบุว่า แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 14.50 บาท เงินบาทที่อ่อนค่าเป็นอีกปัจจัยหนุนในระยะสั้นรายได้ 60% ของ EPG อยู่ในสกุลเงินต่างประเทศ USD และ ดอลลาร์ออสเตรเลีย EPG เข้าไปลงทุนใน 4 Way ยังถือเป็นการแทรกตัวในตลาดโช้คอัพ (shock absorber) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่มีความสำคัญ และมี turnover สูงในกลุ่มรถกระบะ อายุเฉลี่ยของรถประเภท 4 x 4 หรือรถกระบะที่ลุยงานหนักจะอยู่ที่ 2-3 ปี ขณะที่รถยนต์นั่งโดยสารจะอยู่ที่ 6 ปี

.

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานของ EPG จะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในงวดเดือนก.ค.-ก.ย. สถานการณ์ขาดแคลน chip กำลังคลี่คลาย สะท้อนจากยอดการผลิตรถกระบะขนาด 1 ตันที่ฟื้นตัวขึ้น ทั้งนี้ บริษัทรวม Tough Dog เข้าในงบรวมทำให้รายได้จากการขายชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้นถึง 30%จาไตรมาสก่อน และ GPM เพิ่มขึ้นเป็น 34-35% ในงวดเดือนก.ค.-ก.ย. คาดว่ายอดขายที่แข็งแกร่งและต้นทุนวัตถุดิบลดลงทำให้รายได้ และ GPM ของธุรกิจฉนวนยางทำสถิติสูงสุดใหม่

.

TASCO

บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ผู้บริหารยังเชื่อว่าปริมาณปีนี้จะทรงตัวที่ 1.2 ล้านตันได้ เพราะอุปทานในภูมิภาคตึงตัว และความต้องการซื้อในอินโดนีเซียยังคงสูง ส่วนวัตถุดิบมีใช้ถึงไตรมาส 3/65 ด้านแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 3/65 คาดว่าจะอ่อนลงจากไตรมาสก่อน แต่ทรงตัวได้จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

.

ปรับคำแนะนำเป็นถือ (เดิมเต็มมูลค่า) เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการปี 66 จะฟื้นตัวดีขึ้น แรงกดดันด้านต้นทุนวัตถุดิบจะน้อยลง ให้ราคาพื้นฐานใหม่ 15.50 บาท

.

BGRIM

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 43.00 บาท/หุ้น GRIM มี Downside จำกัดแล้วเนื่องจาก 1. แม้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติยังสูงในไตรมาส 3/65 แต่คาดมี Upside จำกัด และมีแนวโน้มปรับตัวลงในปี 2566 รวมถึงคาดค่า Ft จะยังอยู่ในระดับสูงไปอีกระยะหนึ่ง (มีโอกาสปรับขึ้นอีกในรอบ ม.ค. - เม.ย. 66 เพื่อสะท้อนต้นทุน) จึงมองว่ากำไรของบริษัทฯผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในครึ่งแรกปี 65 และอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว

.

2.ธุรกิจโรงไฟฟ้าได้รับผลกระทบจำกัดจากความกังวลเกี่ยวกับ Recession และ 3.บริษัทฯมีโอกาสเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศเพิ่มเติม (เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนตามเป้าหมายของบริษัทฯ) หลังที่ประชุม กกพ. มีมติอนุมัติให้ออกระเบียบการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและจะประกาศรับซื้อในช่วงปลายปีนี้ ปรับคำแนะนำ ขึ้นเป็น “ซื้อ”

.

KEX

บล.ทิสโก้ ระบุว่า จากการประชุมกับผู้บริหาร KEX ล่าสุด ปริมาณพัสดุในช่วงเดือนก.ค.และส.ค.65 ปรับตัวดีขึ้นกว่าในไตรมาส 2/65 เนื่องจากการทำการตลาดและจัดโปรโมชั่น อย่างหนักของอี-คอมเมิร์ซ เช่น 7/7, 8/8 และ Mid-Year Sales เป็นต้น นอกจากนี้จากการที่บริษัทมีการคิดค่าขนส่งต่อชิ้นเพิ่มขึ้น จากต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และสภาวะราคาต่อชิ้นที่เก็บจากลูกค้าไม่ได้ลดลงเร็วและแรงเมื่อเทียบกับปี 64

.

จากสถานการณ์การแข่งขันที่ลดความรุนแรงลงมากและคู่แข่งหลักๆมีการปรับราคาต่อชิ้นเพิ่มขึ้นนั้น คาดว่าจะเข้ามาช่วยลดต้นทุนได้บางส่วน และทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในช่วงครึ่งปี หลังมีการปรับตัวดีขึ้นกว่าในครึ่งปีแรก 65 อย่างไรก็ตามยังคาดว่าอุตสาหกรรมการขนส่งพัสดุจะมีการปรับโครงสร้างหรือกลยุทธ์บางอย่างเพื่อความอยู่รอดรวมถึงคาดว่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีการควบรวมกิจการกันในอนาคต

.

จึงคงประมาณการรายได้และกำไรสุทธิปี 65-67 โดยคาดการณ์ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 1.9 พันล้านบาทในปี 65 ก่อนจะพลิกมาเป็นกำไรสุทธิ 777 ล้านบาทในปี 66 และ 1.13 พันล้านบาทในปี 67 คงคำแนะนำ ขาย ราคาเป้าหมายปี 65 คงเดิมที่ 19.50 บาท

 

 


โจ๊กเกอร์