กลายเป็นประเด็นเดือดกระฉ่อนโซเชียล เมื่อทาง ครม.มีมติเห็นชอบมาตการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้ามาเพื่อพำนักและลงทุนระยะยาวในประเทศไทย นำไปสู่วาทกรรมโจมตีรัฐบาลว่าเป็นการประเคนสมบัติให้ต่างชาติมายึดครองผืนแผ่นดินไทย
เรื่องนี้เริ่มต้นจาก ที่ทาง ครม. มีมติเห็นชอบมาตการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้ามาเพื่อพำนักและลงทุนระยะยาวในประเทศไทย เป้าหมายก็เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีฐานะดี หรือมีความรู้ความเชี่ยวชาญเข้ามาอยู่ประเทศไทย เพื่อช่วยดึงกำลังซื้อ และถ่ายทอดความรู้ทักษะขั้นสูงให้กับแรงงานไทย ให้มีความสามารถทัดเทียมระดับโลก
ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นประเด็นที่อ่อนไหว ก่อให้เกิดการถกเถียงกันถึงในสังคมว่า นโยบายดังกล่าวจะพาประเทศไทยฟื้นจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ถูกกระทบจากโควิด-19 หรือจะเป็นจังหวะให้ต่างชาติเข้ามากอบโกยทรัพยากรในชาติ เรื่องดังกล่าวต้องคิดให้รอบด้าน ทางรัฐบาลจึงได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาอย่างถ้วนถี่อีกครั้ง เพราะเกี่ยวข้องในแง่กฏหมายหลายข้อ ซึ่งปัจจุบันเรื่องนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา ยังไม่ได้มีผลบังคับใช้ใดๆทั้งสิ้น โดยมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยนั้น ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1. ประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง กลุ่มคนเหล่านี้ คือเหล่าเศรษฐีที่มัก เดินทางบ่อย ใช้ชีวิตอยู่ในหลายประเทศ และมีทรัพย์สินอยู่ทั่วโลก
คุณสมบัติขอวีซ่า
- ต้องลงทุนขั้นต่ำ 500,000 ดอลลาร์สหรัฐในพันธบัตรรัฐบาลไทย ลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) หรือในอสังหาริมทรัพย์
- มีรายได้ส่วนบุคคลขั้นต่ำปีละ 80,000 ดอลลาร์สหรัฐในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
- มีทรัพย์สินขั้นต่ำ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- มีประกันสุขภาพจากบริษัทประกันที่ได้รับการรับรอง คุ้มครองค่ารักษา 100,000 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไปตลอดระยะเวลาถือวีซ่า
2. กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ
คุณสมบัติขอวีซ่า
- ต้องมีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีรายได้สำหรับการเกษียณอายุที่มั่นคงเป็นประจำจากต่างประเทศ
- ลงทุนขั้นต่ำ 250,000 ดอลลาร์สหรัฐในพันธบัตรรัฐบาลไทย ลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ ในอสังหาริมทรัพย์
- มีรายได้ขั้นต่ำปีละ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ มีรายได้ขั้นต่ำปีละ 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ
- มีประกันสุขภาพจากบริษัทประกันที่ได้รับการรับรอง คุ้มครองค่ารักษา 100,000 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป ตลอดระยะเวลาถือวีซ่า
3. กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย ทำงานให้กับนายจ้างในต่างประเทศ และสามารถทำงานทางไกลจากประเทศอื่นได้ มีรายได้ที่มั่นคงจากต่างประเทศ
มี 2 ประเภทย่อย
1.ผู้ประกอบอาชีพด้านดิจิทัล (Digital nomad)
2.พนักงานองค์กรขนาดใหญ่และใกล้จะเกษียณอายุ (Corp Program)
4. กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ
คุณสมบัติขอวีซ่า
- มีประสบการณ์ทำงานทักษะสูง และจะเข้ามาทำงานในประเทศไทยให้บริษัทในอุตสาหกรรมเป้าหมายตาม พ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ.2560
- เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิจัยที่จะเข้ามาทำงานหน่วยงานของรัฐ หรือ เข้ามาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมีรายได้ส่วนบุคคล เช่น เงินเดือน รายได้จากการลงทุน ปีละ 80,000 ดอลลาร์สหรัฐในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หรือปีละ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ หากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป และมีประสบการณ์ทำงานอย่างน้อย 5 ปีในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ประสบการณ์ทำงานอย่างน้อย 5 ปี
- มีประกันสุขภาพจากบริษัทประกันที่ได้รับการรับรอง คุ้มครองค่ารักษา 100,000 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไปตลอดระยะเวลาถือวีซ่า
สิทธิประโยชน์ที่ต่างชาติ 4 กลุ่มเป้าหมายจะได้รับ
- ได้วีซ่าพำนักในประเทศไทยนาน 10 ปี รวมถึงผู้ติดตาม หรือคู่สมรสและบุตร
- สิทธิพิเศษอนุญาตทำงานอัตโนมัติ
- ได้รับสิทธิ์ครอบรองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในพื้นที่ๆกำหนด
- เสียภาษีอัตราก้าวหน้า 17% คงที่ เหมือนกับพื้นที่โครงการ EEC (ให้เฉพาะกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ)
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะได้รับ
- ดึงดูดผู้พำนักระยะยาวกว่า 1 ล้านล้านราย เข้าสู่ประเทศไทย
- ใช้จ่ายในประเทศ 1 ล้านล้านบาทต่อปีต่อคนโดยเฉลี่ย
- มีเม็ดเงินจากการลงทุนในประเทศ 8 แสนล้านบาท ประมาณจากการลงทุนจากกลุ่มประชากรโลกประมาณ 1 หมื่นคนและกลุ่มผู้เกษียณอายุ 8 หมื่นคน
- รายได้ทางภาษี 7 แสนล้านบาท แบ่งออกเป็น 180,000 ล้านบาทจากภาษีส่วนบุคคล 70,000 ล้านบาทจากภาษีมูลค่าเพิ่ม และ 22,000 ล้านบาทจากภาษีที่เกี่ยวกับการลงทุน
ซึ่งหากลงรายละเอียดจริงๆจะเห็นว่าคุณสมบัติที่ทางรัฐบาลกำหนดมา เป็นการสกรีนคนที่จะเข้ามาระดับนึง ไม่ใช่ว่าใครจะมาครอบครองที่ดินหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ไหนก็ได้ตามอำเภอใจ
สรุปประเด็น
- ชาวต่างชาติที่จะสามารถถือครองมาซื้อบ้านในไทยได้ต้องเป็นกลุ่มคนต่างชาติใน 4 กลุ่มเป้าหมายข้างต้นเท่านั้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังจ่ายสูง
- ชาวต่างชาติสามารถถือครองห้องชุดและบ้านจัดสรรในโครงการบ้านจัดสรรในพื้นที่ที่กำหนดเท่านั้น ไม่ใช่คิดจะซื้อได้ในทำเลทั่วไป
- รัฐบาลจะกำหนดพื้นที่เฉพาะอาจเป็นพื้นที่ส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เฉกเช่นเดียวกับพื้นที่ อีอีซี เป็นต้น
- แนวคิดนี้ยังเป็นเพียงแค่การนำเสนอเพื่อพิจารณา ยังไม่ได้เริ่มบังคับใช้ เพราะตอนนี้ ครม. เพิ่งจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการภายใน 90 วัน
- จะใช้วาทะกรรม “ขายชาติ” คงไม่ถูกต้องนัก เพราะประเทศเพื่อนบ้านหลายๆประเทศใช้วิธีนี้ได้ผลโดยเฉพาะสิงคโปร์ ตอนนี้เวียดนามก็ดึงคนเก่งด้วยวิธีนี้
- หากมีผลบังคับใช้จริงก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ประเทศไทยมีความพร้อมหลายๆด้าน เชื่อว่าคนเก่งจะเลือกมาอยู่ที่ไทยมากกว่าที่อื่น เพราะพื้นฐานของเราดี ยิ่งถ้าทำให้การเมืองเข้มแข็งชัดเจนกว่านี้ รับรองไม่เป็นรองชาติอื่น
อ้างอิง
https://www.springnews.co.th/news/815714
https://www.bangkokbiznews.com/news/960139
https://www.prachachat.net/politics/news-760688