มองตลาดหุ้นโลกปี 68 กับโอกาสและความท้าทายที่รออยู่
พียงแค่เดือนแรกของปีก็มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในโลกการลงทุนนะครับ การเข้ามาของ DeepSeek ของพี่จีนเขย่าบัลลังก์ 7 นางฟ้าของสหรัฐฯ จนว่ากันถึงขั้นฟองสบู่ AI แตกลงแล้ง ก่อนหน้านี้ตลาดเพิ่งมีแรงสั่นสะเทือนจากการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เพียงไม่กี่วันในปี 2568 นี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกมีสัญญาณความผันผวนที่ชัดเจนมากขึ้นแล้วนะครับ แต่ผมมองว่าในความผันผวนนั้นยังมีทั้งโอกาสและความท้าทายที่ซ่อนอยู่
หนึ่งในความเสี่ยงที่เด่นชัดที่สุด ก็คือการกลับมาของสงครามการค้าผ่านมาตรการการเพิ่มภาษีศุลกากร (Tariff) ต่อประเทศที่ทางสหรัฐฯขาดดุลการค้าด้วย เช่น ประเทศจีน ประเทศเม็กซิโก และประเทศแคนาดา เป็นต้น ซึ่งการดำเนินนโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดหุ้นโดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯที่ต้องเผชิญกับแรงขายในระยะสั้น เนื่องจากนักลงทุนกังวลต่อผลกระทบจากการขึ้นภาษี
แต่ในอีกมุมหนึ่ง สงครามการค้าก็อาจจะเป็นโอกาสสำหรับบางประเทศ เช่น ประเทศจีน ที่อาจเร่งพัฒนาความร่วมมือทางการค้ากับประเทศในภูมิภาค ซึ่งอาจช่วยเปิดโอกาสทางการค้าใหม่ให้แก่บริษัทจีน รวมถึงเร่งลงทุนในเทคโนโลยีสำคัญ เช่น AI (ปัญญาประดิษฐ์) และ Semiconductor รวมถึงการกลับมาให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจภายในประเทศ ดังนั้นการวางกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับนโยบายของประเทศต่างๆ และการเลือกลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบน้อย ก็จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน
สำหรับโอกาสในการลงทุนในปีนี้ ผมมองว่ามีอยู่ 3 ธีมการลงทุนด้วยกัน ข้อแรกคือโอกาสในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น Semiconductor และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ AI ซึ่งมีความต้องการสูงและเป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรมระดับโลก
ถัดมาคือโอกาสในประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เช่น ประเทศเวียดนาม และสุดท้ายคือโอกาสในประเทศที่ส่งสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะประเทศที่มีนโยบายการเงินและการคลังที่ชัดเจนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ประเทศจีนที่มีการประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ในแง่ความท้าทายที่รออยู่ในปีนี้ ผมก็มองเห็น 3 ประเด็นหลักเช่นกันครับ นั่นก็คือความผันผวนจากนโยบายการเงินโดยเฉพาะ ความไม่แน่นอนของนโยบายดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ล่าสุดตลาดเริ่มปรับมุมมองว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยนโยบายเร็วขึ้น หลังตัวเลขเงินเฟ้อ Core CPI ของสหรัฐฯ ที่ประกาศเมื่อวานออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ ซึ่งส่งผลต่อตลาดการเงินทั่วโลก
อีกหนึ่งความท้าทยสำคัญของโลกในปีนี้คือความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ นอกจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนและความขัดแย้งในตะวันออกกลางแล้ว ในคำอวยพรปีใหม่ของประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ก็ได้มีการกล่าวถึง การรวมชาติระหว่างจีนกับไต้หวันด้วย ซึ่งอาจมีความเสี่ยงในทะเลจีนใต้ที่เพิ่มขึ้น
และข้อสุดท้ายก็คือการกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นการกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งพร้อมอำนาจที่มากขึ้นจากเสียงข้างมากในทั้งสองสภา อาจนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ และเป็นปัจจัยในการกระตุ้นความผันผวนในตลาดหุ้นทั่วโลก
เอาล่ะครับ อย่าเพิ่งท้อใจไปครับ ความท้าทายมาพร้อมกับโอกาสเสมอ หากคุณจะถามว่าแล้วประเทศไหนยังน่าสนใจลงทุนในปีนี้บ้าง ผมมองว่าตลาดหลักๆ “สหรัฐฯ” ยังคงอยู่แน่นอนครับ เพราะเป็นประเทศมหาอำนาจโลกเบอร์หนึ่ง ภาพในระยะยาวของสหรัฐฯ ได้ประโยชน์เต็มๆ จากนโยบายต่างๆ ที่นายทรัมป์ ปักธง “America First” ที่เคยประกาศไว้ ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีนิติบุคคล หรือการขึ้นภาษีคู่ค้าต่างๆ ซึ่งชัดเจนมากๆ ว่าต้องการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้ตลาดจะวิตกกังวลต่อปัญหาเงินเฟ้อ รวมไปถึงข้อจำกัดการดำเนินนโยบายการคลัง อย่างเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่สูงเกินมานาน แต่คนในรัฐบาลทรัมป์มีแผนปลดล็อคแล้ว
“สก็อตต์ เบสเซนต์” ว่าที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ย้ำว่าการควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาลและการต่ออายุการลดภาษีปี 2017 จะไม่สร้างเงินเฟ้อ พร้อมเสนอแนวคิดการยกเลิกเพดานหนี้ และเพิ่มการคว่ำบาตรรัสเซียในภาคพลังงาน นอกจากนี้ยังไม่เห็นด้วยกับการสร้างสกุลเงินดิจิทัลโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ
ล่าสุด ตัวชี้วัดเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลายตัวออกมาสะท้อนว่า กิจกรรมทางธุรกิจยังแข็งแกร่ง ภาคบริการ ตลาดจ้างงานที่เพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด Core CPI ที่ 3.2% ดันราคาสินทรัพย์ทะยานทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ทองคำ หลังจากที่สินทรัพย์ดังกล่าวมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องมากว่า 2 ปีแล้ว
หากดูย้อนหลังสถิติตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง ตลาดหุ้นมีความผันผวนขึ้นลง แต่ในภาพรวมตั้งแต่ปี 2560-2564 ดัชนี Nasdaq +142.24% ดัชนี S&P 500 +69.59% และดัชนี Dow Jones +57.30%
ผมมีข้อมูลการวิเคราะห์หุ้นสหรัฐฯ เข้าข่ายน่าลงทุน ผ่าน AI Market Prediction ที่ Jitta Wealth พัฒนาขึ้นมา ยังบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงสิ้นปี 2565 ถูกกว่าค่าเฉลี่ยมากในรอบ 10 ปี และมี อัตราส่วนหุ้นถูกต่อหุ้นแพงอยู่ที่ 2.57 เท่า โดยคัดมาจากหุ้นที่ดีที่สุด 50 ตัว
ผมมองเป็นการลงทุนระยะยาว “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ” ยังสามารถลงทุนได้ ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็ยังมีความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้ Tom Lee ผู้ก่อตั้ง FundStrat มั่นใจว่า มีโอกาส 80% ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะให้ผลตอบแทนเกิน +10% ในปีนี้ ที่สำคัญคือเขาทายถูกมาหลายปีแล้วด้วยสิครับ
อีกประเทศที่น่าสนใจ “จีน” ล่าสุด มีข่าวดีเศรษฐกิจไตรมาส 4/2567 เร่งตัวขึ้นมาได้จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ของรัฐบาลจีนช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทำให้ภาพรวมั้งปี 2567 เศรษฐกิจจีนเติบโตได้ 5% ตามเป้าหมายของทางการครับ
แม้ว่าเศรษฐกิจจีนยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึง เพราะมีภาคการผลิตเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญโดยเฉพาะอุตสาหกรรมใหม่ที่เกี่ยวข้องกับกำลังการผลิตใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด หุ่นยนต์ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริการด้านเทคโนโลยี ส่วนภาคการบริโภคในประเทศและปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ที่คาดต้องใช้เวลาแก้ปัญหาอีก 1 ปีนี้ รวมถึงปัญหาเงินฝืดสูงขึ้น จึงยังเป็นปัจจัยกดดันอยู่ต่อไป และปีนี้มีปัจจัยเสี่ยงสงครามการค้ารอบใหม่ เพิ่มขึ้นมาอีก ขณะที่ทางการจีนประกาศเดินหน้าผ่อนคลายทั้งมาตรการการเงินและการคลังอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจจีนเติบโตต่อเนื่องไปในระยะข้างหน้า โดยมีเป้าหมาย GDP ปีนี้เติบโต 5% ท่ามกลางนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะต่ำกว่า 5%
สำหรับผมเชื่อมั่นว่า จีนจะฝ่าวิกฤตินี้ไปได้ครับ เพราะจีนผ่านมรสุมสงครามการค้าสงครามเทคฯ มาได้และมีแผนรับมือไว้แล้ว หลายๆ ภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับนวัตกรรมใหม่ จีนก็สามารถชิงตำแหน่งเบอร์หนึ่งของโลกได้อย่างรถยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด และกำลังสร้างอาณาจักรเทคโนโลยีเชิงลึกด้วย ทุกอย่างล้วนมุ่งไปสู่การสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่เป็นวาระแห่งชาติของจีน แม้ระหว่างทางยังต้องใช้เวลาแก้ปัญหาในประเทศก็ตาม
ตลาดหุ้นจีน เป็นหนึ่งในตลาดที่มีโอกาสเติบโตที่ดีในปีนี้ครับ เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหุ้นจีนตกลงมาเยอะมาก และปีที่แล้วก็เพิ่งขึ้นมาได้ไม่มากนัก
ผมยังได้วิเคราะห์หุ้นจีนด้วย AI Market Prediction ในช่วงสิ้นปี 2567 พบว่า การเปรียบเทียบจำนวนหุ้นถูกต่อหุ้นแพง (P/E) ของหุ้นจีน มีจำนวนหุ้นถูก 43 ตัว มากกว่าจำนวนหุ้นแพงที่มีอยู่เพียง 7 ตัว อัตราส่วนหุ้นถูกต่อหุ้นแพงอยู่ที่ 6.14 เท่า ตอนนี้หุ้นจีนราคาถูกมีจำนวนมาก ถือเป็นโอกาสลงทุนในปีนี้
นอกจากนี้ หุ้นจีนคุณภาพดีมีอนาคต ยังมีอยู่ในหลายอุตสาหกรรมหลักที่ได้รับการผลักดันจากรัฐบาล ทำให้มีโอกาสสูงที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง นำโดย กลุ่มเทคโนโลยีจีน กลุ่มพลังงานสะอาด ซึ่งเกาะกลุ่มอยู่ในธีมเมกะเทรนด์โลก และจีนทำผลงานออกมาได้ดีกำลังขึ้นแท่นผู้นำโลก
ปกติ ตลาดหุ้นทั่วไปก็เคลื่อนไหวเป็นวัฏจักรอยู่แล้ว เมื่อหุ้นตกลงมาหนักๆ มันก็จะวิ่งกลับขึ้นมาเหมือนกัน เมื่อมีปัจจัยต่างๆ พร้อมใจกันเข้ามาสนับสนุน เพราะฉะนั้น หากคุณจะลงทุนก็ควรเลือกประเทศที่ถูกที่สุด ดีที่สุด ช่วยลดโอกาสที่จะขาดทุนนานๆ น้อยลงไปด้วยครับ
สำหรับใครที่มองหาโอกาสการลงทุนรายประเทศผมแนะนำสหรัฐฯ และ จีน ครับ เพราะไม่ว่าอย่างไรทั้งสองประเทศนี้ก็ยืนหนึ่งติดอันดับต้นของโลกอยู่แล้ว
แต่การจะจัดพอร์ตลงทุนของคุณให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ และผลตอบแทนไม่แย่จนเกินไป ผมก็ยังเชื่อว่าการกระจายความเสี่ยงคือหัวใจสำคัญของการลงทุนให้ปลอดภัยนะครับ โดยเฉพาะในปีที่มีความผันผวนทางเศรษฐกิจและตลาดการเงินที่สูง ผมก็ยังคงแนะนำให้นักลงทุนใช้กลยุทธ์การจัดพอร์ตโฟลิโอแบบ “Core & Satellite” การมีพอร์ตหลักและพอร์ตรองในสัดส่วนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง จะช่วยสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงและโอกาสในการสร้างผลตอบแทน ให้คุณลงทุนได้อย่างอุ่นใจได้ในระยะยาว ไม่ว่าตลาดจะแกว่งไปทางไหนพอร์ตเราก็ต้องปลอดภัยจริงไหมครับ
ที่มาข้อมูลข่าวจาก การเงินธนาคารออนไลน์
https://moneyandbanking.co.th/2025/153155/