ห้องเม่าปีกเหล็ก

ประเทศไทย ใกล้ล่มสลายหรือยัง

โดย จอมมาร
เผยแพร่ :
139 views

ประเทศไทย ใกล้ล่มสลายหรือยัง

(เซฟไว้อ่านเพราะยาวมาก ใช้เวลาอ่านอย่างน้อย 10 นาที)

.

.

 

 

1 เดือนที่ผ่านมา ผมอยู่กับหนังสือ Why Nation Fails เป็นหลักเพื่อพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่หนังสือเขียนไว้และคิดกลับมายังประเทศของเราว่า วันนี้ประเทศไทยของเรามันใกล้ล่มสลายจริงๆ หรือยัง สุดท้ายสามารถสรุปออกมาเป็น checklist ว่า ประเทศๆ นึงจะล่มสลายโดยสมบูรณ์เหมือนกับที่เราเห็นตัวอย่างจากประเทศอื่นมาแล้ว เกิดจาก 6 มิติ 32 องค์ประกอบ ดังนี้

.

.

มิติการเมือง ระบบที่ผูกขาดอำนาจอยู่กับคนกลุ่มเดียวยาวนาน

1. มีชนชั้นนำทางการเมืองผูกขาดอำนาจโดยไม่มีระบบตรวจสอบถ่วงดุล

2. ไม่มีการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม ทุจริตผลการเลือกตั้งเป็นเรื่องปกติ

3. รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายเอื้อให้อำนาจอยู่กับกลุ่มเดิมตลอดไป

4. ศาลและองค์กรอิสระไม่มีความเป็นอิสระ ถูกควบคุมโดยฝ่ายการเมือง

5. ไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สื่อถูกควบคุมหรือบิดเบือน

6. ผู้นำใช้อำนาจผ่านความกลัว เช่น การประกาศภาวะฉุกเฉินซ้ำซาก

.

.

มิติเศรษฐกิจ ระบบที่ไม่มีแรงจูงใจให้เติบโต

7. ระบบเศรษฐกิจถูกผูกขาดโดยกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่มหรือรัฐเอง

8. ธุรกิจใหม่เข้าสู่ตลาดได้ยากจากอุปสรรคทางกฎหมายหรือใบอนุญาต

9. การลงทุนภาคเอกชนต่ำ เพราะขาดความมั่นใจในสิทธิในทรัพย์สิน แะโอกาสในการเติบโต

10. ระบบภาษีไม่โปร่งใส เอื้อชนชั้นนำ ขูดรีดจากคนตัวเล็ก

11. การคอร์รัปชันฝังลึกในทุกระดับของราชการ ส่งผลต่อต้นทุนการสร้างธุรกิจและคุณภาพชีวิต และทัศนคติต่อการได้มาซึ่งรายได้ ใช้อำนาจ -> ได้เงินง่าย

12. รัฐจงใจให้ค่าครองชีพสูงโดยไม่จำเป็น เช่นค่าไฟ น้ำมัน ประชาชนจ่ายอย่างไม่มีทางเลือก

.

.

มิติสังคม ระบบที่บีบให้คนยอมจำนน

13. ประชาชนรู้สึกว่า "ไม่มีประโยชน์" ที่จะพยายาม คนรุ่นใหม่ไม่มีความหวัง ไม่มีแรงบันดาลใจ

14. สังคมเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำที่แก้ไม่ตก

15. สื่อและสังคมไม่ให้ค่าคนทำดี แต่ให้ค่าคนมีเงิน ทำให้คนไม่สนที่มาของรายได้ เลือกที่จะโกงหรือทำผิดกฏหมายได้โดยไม่รู้สึกผิด และเน้นนำเสนอเนื้อหาที่ไม่ส่งเสริมการพัฒนาประเทศ

16. การเคลื่อนไหวของประชาชนถูกปราบปรามหรือดูดกลืน คนส่วนใหญ่เลือกรับสื่อที่ไม่มีประโยชน์กับการพัฒนาประเทศ

17. การย้ายถิ่นฐานของคนเก่ง (Brain Drain) สูงผิดปกติ

.

.

มิติการศึกษา สร้างแรงงานเชื่องแทนพลเมืองคิดเป็น

18. ระบบการศึกษามุ่งสอนให้เชื่อฟัง มากกว่าคิดวิเคราะห์

19. ไม่มีการเชื่อมโยงระหว่างการศึกษากับตลาดแรงงาน

20. คนมีวุฒิแต่ไม่มีที่ยืนในระบบเศรษฐกิจ

21. ผู้มีอำนาจใช้นโยบายการศึกษาเพื่อรักษาระบบเดิม เช่น ล้างสมอง ปิดกั้นความรู้ทางการเมือง ให้ความรู้แค่พอเลี้ยงชีพแต่แข่งขันกับใครไม่ได้

.

.

มิติการพัฒนาและสถาบัน อวค์กรภาครัฐเป็นวงจรอุบาทว์ไม่สิ้นสุด

22. สถาบันรัฐถูกใช้เป็นเครื่องมือของชนชั้นนำ ไม่ได้ทำเพื่อส่วนรวม

23. การปฏิรูปมักเป็น “ภาพลวงตา” ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างจริง

24. โครงการแก้ปัญหาถูกทำเพื่อ “แจกแบบหวังผลระยะสั้น” ไม่ใช่ “สร้างแรงจูงใจเพื่อผลระยะยาว”

25. การเปลี่ยนผู้นำไม่เคยนำไปสู่การเปลี่ยนระบบ

26. รัฐไม่สามารถให้บริการขั้นพื้นฐานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สาธารณสุข ความปลอดภัย

27. ความพยายามพัฒนาใหม่ ๆ ทุกด้าน ถูกบล็อกโดยกลุ่มคนเดิมที่เสียประโยชน์

.

.

มิติด้านศรัทธา สิ้นหวัง ประชาชนแบ่งแยก ซึ่งเป็นสัญญาณเสื่อมขั้นวิกฤต สู่ภาวะรัฐล้มเหลว

28. การใช้อำนาจทหาร-ความมั่นคงกับประชาชน

29. ความขัดแย้งภายในรุนแรง จนเกิดสงครามกลางเมืองหรือการแบ่งแยกดินแดน

30. ความไว้วางใจต่อสถาบันรัฐและผู้นำใกล้ศูนย์

31. คนจำนวนมากเลือกอยู่เงียบ ๆ ไม่มีศรัทธาต่อการเปลี่ยนแปลง

32. ระบบกฎหมายไม่สามารถบังคับใช้ หรือเลือกบังคับเฉพาะฝ่ายตรงข้าม

รวมทั้งสิ้น 32 ข้อ ฉ่ำๆ

หากประเทศใดเข้าข่าย มากกว่า 16 ข้อขึ้นไป เกินครึ่ง) โดยไม่มีแนวโน้มจะเปลี่ยน อาจอยู่ใน “ภาวะถดถอยสถาบัน” (Institutional Decline)

.

และหากเข้าข่ายเกิน 25 ข้อพร้อมกับวิกฤตการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม

อาจเรียกได้ว่ากำลังเข้า Fail State อย่างแท้จริง

.

.

แล้วประเทศไทย ตอนนี้มีกี่ข้อ?

คิดว่า ประเทศไทยเข้าข่ายประมาณ 23–25 ข้อ บางข้อขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละคน

 

มิติการเมือง (6/6 ข้อ) ครบ

 

ผูกขาดอำนาจแบบไม่มีกลไกถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพ (เช่น ส.ว. มาจากการแต่งตั้ง)

 

การเลือกตั้งเสรีมีข้อกังขา ทั้งในด้านกติกาและการบังคับใช้

 

รัฐธรรมนูญเอื้อให้อำนาจเดิมอยู่ต่อ เช่น การตั้ง ส.ว. มาเลือกนายก

 

ศาลและองค์กรอิสระถูกมองว่าเอนเอียง และมีการเลือกปฏิบัติ

 

สื่อถูกกดดัน ปิดปาก หรือบิดเบือนผ่านทุนและรัฐ

 

การใช้ความมั่นคง ปราบม็อบ ดำเนินคดีทางการเมือง

.

มิติเศรษฐกิจ (6/6 ข้อ) ครบ

 

ระบบทุนผูกขาดชัดเจน เช่น ห้างค้าปลีก ค่ามือถือ อุตสาหกรรมอาหาร

 

การออกใบอนุญาต-สัมปทานลำบากสำหรับรายเล็ก ที่ทำให้ยาก เพื่อจะได้คอร์รัปชั่นง่าย

 

นักลงทุนรายย่อยไม่มั่นใจเรื่องสิทธิในทรัพย์สิน โดยเฉพาะที่ดิน-ผังเมือง

 

ระบบภาษีเอื้อรายใหญ่ กดรายย่อย

 

การคอร์รัปชันยังคงอยู่ในระดับ “เป็นปกติ” ในหลายหน่วยงาน ไม่เคยมีการตรวจสอบและลงโทษคนที่เกี่ยวข้อง

 

ค่าครองชีพสูงมากเมื่อเทียบกับรายได้ เช่นค่าเดินทาง ค่าไฟ ค่าการศึกษา

.

.

มิติสังคม (4/5 ข้อ)

 

คนจำนวนมากหมดศรัทธาในความพยายาม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่ขาดแรงบันดาลใจอยู่มาก

 

ความเหลื่อมล้ำรุนแรง ไทยติด Top 10 ของโลก

 

สื่อขาดความรับผิดชอบต่อสังคม

 

การเคลื่อนไหวถูกกดด้วยคดี ม.112 ม.116 และกฎหมายม็อบ

 

ยังไม่มี Brain Drain ขนาดรุนแรง คนเก่งยังไม่ย้ายออก แต่คนเก่งข้างนอกไม่กลับมา

.

.

มิติการศึกษา (3/4 ข้อ)

 

ระบบการศึกษาเน้นเชื่อฟัง มากกว่าวิเคราะห์

 

ไม่สอดคล้องตลาดแรงงาน

 

วุฒิไม่ช่วยให้เข้าระบบเศรษฐกิจหรือหางานได้จริง

 

มีบางส่วนที่ใช้การศึกษาเพื่อคงระบบเดิม (เช่น หลักสูตรที่หลีกเลี่ยงวิจารณ์การเมือง)

.

.

มิติพัฒนาและสถาบัน (4/6 ข้อ)

 

สถาบันรัฐจำนวนมากถูกครอบโดยผู้มีอำนาจ

 

การปฏิรูปบ่อยครั้งไม่เปลี่ยนโครงสร้างจริง

 

โครงการพัฒนา “แจกมากกว่าสร้าง” เช่น โครงการแจกฟรี บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

 

เปลี่ยนผู้นำแต่ไม่เปลี่ยนระบบ ได้นายกฯ คนใหม่ภายใต้ระบบนิเวศเดิม

 

บริการพื้นฐานบางอย่างดี เช่น สาธารณสุข แต่ระบบโดยรวมยังมีความเหลื่อมล้ำ

 

ประเทศยังมีโครงการพัฒนาใหม่ ๆ ที่พอเดินได้ แต่ทำโดยเอกชนและสู้ด้วยตัวเอง เช่น Start-up หรือ Soft Power แต่ยังเล็ก

.

.

เสื่อมขั้นวิกฤต (2/5 ข้อ)

 

การใช้ทหารไม่ถึงขั้นปราบแบบสมัยก่อน แต่ยังมีการใช้โครงสร้างทหารในการเมือง

 

ยังไม่ถึงขั้นสงครามกลางเมือง

 

ประชาชนจำนวนมากไม่ไว้ใจรัฐ

 

คนจำนวนนึง “ยอมแพ้” แบบเงียบ และยังมีอีกมากที่บังไม่ยอมแพ้

 

ระบบกฎหมายยังทำงานอยู่ แต่มีการเลือกบังคับใช้ชัดเจน ใครมีเส้นสายคือรอด

รวมทั้งหมด: ประมาณ 23–25 ข้อ จาก 32 ข้อ

บาคนอาจให้มากน้อยกว่านี้ แล้วแต่มุมมองส่วนตัว

.

.

สิ่งที่ “น่ากลัวกว่านั้น” และไม่อยู่ในหนังสือ แต่เราก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามันมีอยู่ในประเทศไทย และสอดคล้องกับแนวคิดของการเป็นประเทศล่มสลาย คือ

.

1. ระบบอุปถัมภ์ฝังลึก (Neo-feudalism disguised as modernization) คนมีอำนาจเข้าสู่ระบบจากเส้นสายมากกว่าความสามารถ ผ่านการใช้ระบบแต่งตั้งมากกว่าสอบแข่งขัน

.

2. การใช้พลัง Soft Power ไปควบคุม (Co-opted Culture) และกำหนดทิศทางสื่อ รัฐพยายามครอบการแสดงออก เช่น ข่าว, เพลง, หนัง, หรือคอนเทนต์ เปลี่ยนวัฒนธรรมให้เชื่อง แทนที่จะปล่อยให้สร้างแรงบันดาลใจ เช่นขีวิตมีแค่นี้ก็พอแล้ว แทนที่จะส่งเสริมให้ประชาชนรู้สึกว่าชีวิตสามารถดีกว่านี้ได้ ถ้าขวนขวายพยายาม

.

3. การซื้อเวลาแบบสิ้นเปลือง (Policy for Survival) แจกเงิน ใช้เงิน แก้เฉพาะหน้าโดยไม่เปลี่ยนระบบหรือทำโครงสร้างทางสังคมให้ดีขึ้น รวมถึงเอาเงินภาษีไปอุ้มระบบเดิม ไม่ใช่ลงทุนในอนาคต

.

.

ถ้าเรามองประเทศไทยผ่านแนวคิดใน Why Nations Fail ซึ่งเน้นว่า โครงสร้างอำนาจ และ สถาบันทางเศรษฐกิจ-การเมือง ส่งผลต่อความล่มสลายของประเทศมากกว่าตัวบุคคล และประเทศไม่ได้ล้มเหลวเพราะประชาชนโง่ หรือกันดาร ไม่มีทรัพยากร แต่เป็นเพราะผู้นำ "จงใจ" ไม่ยอมเปลี่ยนโครงสร้างที่ทำให้ตัวเองเสียอำนาจ

 

ประเทศไทยวันนี้ เข้าเงื่อนไขหลักของ “ระบบขูดรีด (Extractive Institutions) คือ

.

1. อำนาจรวมศูนย์แบบไม่มีแรงต้านที่แท้จริง

รัฐธรรมนูญถูกออกแบบให้ ชนชั้นนำสามารถคุมอำนาจได้ แม้แพ้เลือกตั้ง

องค์กรอิสระ ศาล ส.ว. ไม่ได้มีที่มาแบบประชาชน แต่มีผลต่อโครงสร้างอำนาจโดยตรง

.

2. เศรษฐกิจผูกขาดแบบเป็นระบบ ทุนใหญ่ไม่กี่กลุ่มครอบตลาดในทุกอุตสาหกรรม

.

3. ระบบศึกษาและสื่อทำหน้าที่ “เสริมความเชื่อง” มากกว่า “เปิดความคิด” หลักสูตรไม่เปิดพื้นที่ให้คิดวิเคราะห์เรื่องโครงสร้างอำนาจ สื่อถูกควบคุมทั้งทางตรง (กฎหมาย) และทางอ้อม (ทุน)

.

4. ประชาชนหมดศรัทธาในเกมการเมือง ความหวังของคนรุ่นใหม่ลดลงเรื่อย ๆ ระบบให้สัญญาณว่า “คุณไม่มีอำนาจเปลี่ยนอะไรได้" การลงถนน/ประท้วงกลับถูกดำเนินคดีอย่างหนัก

.

.

กลับมาที่คำถามว่า แล้วประเทศไทย “ล่มสลาย” หรือยัง?

ผมคิดว่า ยังไม่ล่มสลายแบบ Fail State เต็มรูปแบบ แต่ก็ใกล้มากแล้ว

เชื่อว่าไม่เกิน 20 ปี หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

.

.

ที่พูดว่ามีเวลาอีก 20 ปี เพราะยังมีระบบราชการบางส่วนทำงานได้ และภาคเอกชนเรายังมีแรงอยู่

ระบบเศรษฐกิจยังพอหมุนได้ เพราะมีฐานการท่องเที่ยว การผลิต และไทยเป็นเป้าหมายการลงทุนและใช้ชีวิตของคนหลายๆ ประเทศ เพียงแค่เค้ารอเวลามืดมนของเราหายไปเท่านั้น

.

.

ประเทศของเรา แค่กำลังอยู่ใน วงจรอุบาทว์ (Vicious Circle) วงจรแห่งการรวมอำนาจ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อความเจริญและพัฒนา เพราะชนชั้นอำนาจ กลัวการพัฒนาที่สุดจึงต้องใช้กลไกอำนาจครอบงำสถาบันหลักๆ เพื่อปิดกั้นคู่แข่ง กีดกันและกำจัดคนเก่งออกจากระบบ และทำให้ประชาชนส่วนใหญ่หมดโอกาสโงหัวขึ้น

.

.

 

แต่ แต่ แต่…

แม้เราจะยังไม่ใช่ แต่ผมว่าเราอยู๋ในขั้นตอน “Pre-Failure State” ประเทศที่อยู่ในช่วงก่อนการล่มสลายของความเชื่อมั่น โดยไม่มี “แรงสั่นสะเทือน” จากภายในหรือภายนอกมาพอจะเปลี่ยนแปลงอะไร

.

มันเหมือนเอาน้ำคลองเน่าๆ มาใส่ขวดนั่นแหละ

ถ้าไม่เขย่าแรง เราจะไม่เห็นก้อนตะกอนปัญหาในขวด

เมื่อไม่ถูกมองเห็น ไม่ถูกกระตุ้น กดดัน ปัญหาจะไม่ถูกแก้

แต่ถ้าเราเชื่อว่าในขวดมันมีตะกอน เราจะเขย่าให้แรงเพื่อจะได้มองเห็น จนทนไม่ได้และหยิบมันออกในที่สุด

.

.

แล้วประชาชนอย่างเราจะทำอะไรได้บ้าง

.

.

1. ใช้สื่อในมือให้เป็นประโยชน์ที่สุด แจ้ง แชร์ ฟ้องปัญหาที่อยากให้ถูกแก้ไข พูดให้บ่อย ให้มากจนคนที่เกี่ยวข้องอยู่เฉยไม่ได้ ไม่แนะนำให้ด่า เพราะการด่ามันได้ผลระยะสั้นแต่ไม่จูงใจ และเลิกสนใจข่าวดราม่าเรื่องคนอื่น ยิ่งประชาชนสนใจ สื่อจะยิ่งละเลยบทบาทการนำเสนอเรื่องราวพัฒนาประเทศ

.

2. ไม่ก้มหัวให้คอร์รัปชั่น ช่วยกันให้ข้อมูลการทุจริตทั้งหมดที่รู้เห็น (ทั้งราชการและเอกชน) ขอให้เชื่อว่ายังมีคนจำนวนนึงที่หน้าไม่ด้านพอที่จะทุจริตเมื่อรู้ว่าคนอื่นกำลังมองเห็น โดยเฉพาะข้าราชการตัวเล็กที่ต้องก้มหน้าทำตามคำสั่งทั้งที่ฝืนใจ คุณคงไม่อยากเป็นแบบนี้ตลอดไปใช่ไหม

.

3. อย่าเบื่อการเมือง เพราะการเมืองไม่เคยเบื่อคุณ เพราะเมื่อคนดีไม่สนใจการเมือง มันจะเป็นเวลาที่คนชั่วได้อำนาจ ติดตามข่าวสารบ้านเมืองด้วยสายตาวิจารณ์เพื่อพัฒนา ไม่ใช่แชร์ตามกระแส

.

4. ปกป้อง “สถาบันตรวจสอบ” เช่น สื่อ ศาล องค์กรอิสระ

ประเทศไม่ล่มเพราะคนโกง แต่ล่มเพราะไม่มีใครกล้าหรือสามารถตรวจสอบคนโกง

สนับสนุนสื่ออิสระให้มีบทบาทกับการนำเสนอมากขึ้น เลิกดูสื่อที่เสนอแต่ข่าวดาราเลิกกัน ใครตบกัน หมาข้างบ้านกัดกัน 3 วันไม่จบ ฯลฯ

.

5. หยุดวงจร “นิ่ง–แจก–ยอม” คนไทยเคยถูกหลอกว่า “อยู่นิ่ง ๆ เดี๋ยวรัฐแจก” นี่คือสูตรของ Fail State อย่าให้เศษเงินอุดปากเราได้

.

6. อย่ากลัวการพูดถึงโครงสร้างอำนาจ ถ้าเราพูดแต่เรื่องคนเลว แต่ไม่พูดเรื่องระบบที่ให้คนเลวขึ้นมา ประเทศจะไม่เปลี่ยน ฝึกให้คนรอบตัวกล้าถามว่า “ทำไมเราต้องอยู่ภายใต้ระบบที่ไม่ให้เราคิดหรือตัดสินใจ?” หรือ เราต้องอยู่กันแบบนี้ไปตลอดจริงๆ หรือ?

.

7. สร้าง/สนับสนุนระบบเศรษฐกิจทางเลือกและรายย่อย

หากเราทำให้ทุนผูกขาดน้อยลง ระบบจะเปลี่ยนทางได้ง่ายขึ้น ซื้อของจากผู้ผลิตรายย่อย ลดค่านิยมความสบาย เดินไปกินไปซื้อของจากร้านทั่วไปใกล้บ้าน สนับสนุน #เกษตรกร #สหกรณ์ #วิสาหกิจชุมชน #ธุรกิจเพื่อสังคม #ธุรกิจขนาดเล็ก #SME #แบรนด์ไทย ให้มากขึ้น ตามกำลังของเรา

หันมากินของง่ายๆ ใกล้บ้าน ลดการสั่ง grab

เที่ยวในประเทศ ซื้อของไทย แบรนด์ไทย

ซื้อตรงจากร้านเล็กๆ เลิกสั่งผ่าน platform ให้มากที่สุดที่จะทำได้

รู้ว่ามันยาก มันฝืนพฤติกรรมเดิม แต่ถ้าอยากมีอนาคตที่ดี เราต้องอดทนเปลี่ยนตรงนี้ให้ได้

คุณอาจจะไม่รู้ว่า กำไร 100 บาท ของร้านเล็กๆ มันมีค่ามหาศาล

แต่ถ้าเป็นของร้านสะดวกซื้อ มันไม่มีความหมายอะไรเลยกับธุรกิจนั้น

.

8. "การไม่ยอมจำนน" คือพลังเงียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ระบบจะล่ม เมื่อมันไม่สามารถทำให้เรากลัวได้อีกต่อไป

อย่ายอมแพ้ต่อการกลั่นแกล้งทางกฎหมาย อย่าปรับตัวยอมรับกับความอยุติธรรมจน “ชิน”

อย่ายอมให้ลูกหลานโตมาในประเทศที่บอกว่า “คิดไม่ได้ พูดไม่ได้”

.

.

เมื่อไหร่ที่เรายอมแพ้

นั่นคือการนับหนึ่งของการเป็นประเทศที่ล่มสลายโดยสมบูรณ์

.

.

Nation Fails ไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศใดๆ

และเราทุกคน คงไม่อยากส่งต่อประเทศไทยที่ล่มสลายให้กับลูกหลานของเรา

ด้วยฝีมือของเราเอง

 

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก..เพจTrick of the Trade


จอมมาร