ห้องเม่าปีกเหล็ก

เช็คฟอร์ม 8 หุ้นไซส์กลาง เมื่อได้เข้าคำนวณใน MSCI

โดย Durant
เผยแพร่ :
65 views

เช็คฟอร์ม 8 หุ้นไซส์กลาง เมื่อได้เข้าคำนวณใน MSCI

เมื่อหุ้นขนาดกลางในดัชนีตลาดหุ้นไทยได้โอกาสให้เข้าไปคำนวณอยู่ในดัชนี MSCI global Small caps ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้มีเม็ดเงินจากกองทุนต่างชาติกระจายเข้ามาให้น้ำหนักใส่เงินลงทุนในหุ้น ซึ่งช่วยให้หุ้นมีมูลค่ามากขึ้น


MSCI Rebalance ได้ประกาศหุ้นไทยเข้า-ออกรอบใหม่ โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าในตลาดหุ้นและในขณะเดียวกันหุ้นที่ได้รับการเข้าคำนวณรอบใหม่จะทะยานขึ้นแรงและเป็นโอกาสเข้าลงทุนหุ้น โดยหุ้นที่จะถูกปรับเข้า MSCI Global Standard คือ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG และ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) SCGP ส่วนหุ้นปรับออกคือ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC และ Kasikornbank FNG (ในตลาดหุ้นที่เยอรมนี) 


ส่วนหุ้น MSCI global Small caps หุ้นที่ถูกปรับเข้าคือ บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL, บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) หรือ RCL, บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC, บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER, บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX, บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA,บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA โดยจะมีผลหลังปิดตลาดวันที่ 27 พ.ค.64


โดยก่อนหน้านี้ Wealthy Thai ได้เคยเล่าให้กับนักลงทุนได้ทราบถึงแนวโน้มและทิศทางของกลุ่มหุ้นที่ได้รับการเข้าคำนวณ MSCI Global Standard กันไปแล้ว และในคราวนี้จะเล่าให้นักลงทุนฟังและเห็นภาพของกลุ่มหุ้นที่ได้รับการเข้าคำนวณ MSCI Small caps กันบ้างว่าจะได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนต่างชาติมากน้อยขนาดไหน และแนวโน้มของธุรกิจกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือว่าอยู่ในช่วงขาลง


แต่ก่อนอื่นนั้น เรามีมุมมองจากนักวิเคราะห์มากความสามารถอย่างคุณวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทเมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่จะมาให้มุมว่าแล้วหุ้นในกลุ่มดังกล่าวจะได้รับประโยชน์จากการถูกเลือกเข้าคำนวณในครั้งนี้


โดยคุณวิจิตร เล่าว่า ภาพการลงทุนระยะสั้นหลังจากการประกาศไปแล้วนั้นจะช่วยให้มีเม็ดเงินต่างชาติทยอยเข้ามาลงทุน ซึ่งน้ำหนักการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุน ขณะเดียวกันก็มีส่วนจะช่วยให้แรงซื้อจากนักลงทุนในประเทศเข้ามาสมทบด้วยเช่นเดียวกัน โดยตามสถิติราคาหุ้นในกลุ่มนี้มักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนที่จะได้รับการเข้าคำนวณ 3-5%


สำหรับหุ้นเด่นเลือก SINGER โดยคาดว่าปีนี้จะสามารถทำกำไรสุทธินิวไฮต่อเนื่องจากพอร์ตสินเชื่อที่เติบโต ขณะที่ SYNEX ด้วยราคาที่ตอนนี้เริ่มตึงตัวแล้ว เพราะซื้อขายกันที่ P/E 30 เท่า แต่เทรนด์ของการ Work from home มีมากขึ้น จึงมองว่าราคาหุ้นอาจจะสามารถไปต่อได้ อาจจะลงทุนแบบเก็งกำไร


ส่วนหุ้นกลุ่มเดินเรือที่ในรอบนี้ได้รับการเข้าคำนวณมากครบทั้ง 3 ตัว โดย PSL จะได้รับประโยชน์ของสัญญาณ BDI ที่ปรับตัวเพิ่มต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ RCL ที่ได้ประโยชน์จากการที่จำนวนปริมาณเรือในระลดลง และเศรษฐกิจโลกที่กลับมาฟื้นตัว จึงส่งผลให้มีออเดอร์สินค้าอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ TTA อาจจะไม่ได้รับประโยชน์จาก BDI ที่ปรับขึ้นมากนัก เพราะอีกฝั่งของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารได้รับผลกระทบจากภาครัฐสั่งห้ามนั่งกินอาหารในห้างสรรพสินค้า


ด้านของ SCCC เองถือเป็นหุ้นที่ผลประกอบการกำไรยังคงผันผวน และด้วยสภาพคล่องของหุ้นเองมีน้อย นักลงทุนจึงอาจจะไม่สามารถทำกำไรจาการขายหุ้นได้ แต่อาจจะถือเพื่อรับปันผลได้เช่นกัน ส่วน TOA ขณะนี้ไม่แนะนำเพราะด้วยตัวหุ้นเองมีโอกาสที่จะถูกถอดออกจาก SET 50



ACE โรงไฟฟ้าใหม่

สำหรับมุมมองนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์อื่นๆให้ความเห็นถึงแนวโน้มโอกาสทางธุรกิจและผลประกอบการของหุ้นรายได้ โดยจะเริ่มกันที่ ACE นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในปี 2564 ประเมินว่ากำไรจากการดำเนินงานจะยังคงแข็งแกร่ง และเมื่อพิจารณาจากการดำเนินงานเต็มของกำลังการผลิตที่เพิ่มเข้ามาใน 2563 และการเริ่มเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง กำลังการผลิตรวม 12 เมกะวัตต์ เติบโต 5% จากสิ้นปี 2563


โดยแนวโน้ม upside จะมาจากโรงไฟฟ้า SPP ไฮบริด 1 โรง ขนาด 20 เมกะวัตต์ ซึ่งได้รับ PPA ระยะเวลา 20 ปีแล้วในเดือนม.ค. 2564 ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่โรงไฟฟ้าแห่งนี้จะเริ่มดำเนินงานภายในสิ้นปี 2564 เมื่อพิจารณาจากแผนการก่อสร้างและการจัดหาอุปกรณ์ที่บริษัทสามารถบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี


นอกจากนี้ คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของ ACE จะยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับ 0.3 เท่า ณ สิ้นปี 2563 ขณะที่ upside คือ การลงนามใน PPA ของโรงไฟฟ้า SPP ไฮบริดภายในครึ่งปีแรกของปี 2564  และโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนที่อาจจะประกาศภายในกลางปี 2564


ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการของ ACE ในปี 2564 เบื้องต้นประเมินจะรายงานกำไรสุทธิเติบโตมาอยู่ที่ระดับ 2,107 ล้านบาท หลังจากนั้นปี 2565 คาดว่ากำไรจะเพิ่มมาอยู่ที่ระดับ 3,308 ล้านบาท ขณะที่รายได้ของปี 2564 คาดว่าจะรายงานที่ระดับ 7,147 ล้านบาท ส่วนปี 2565 คาดว่าจะเติบโตมาแตะระดับ 10,314 ล้านบาท


ดังนั้นจึงแนะนำ OUTPERFORM คงราคาเป้าหมายไว้ที่ 5 บาทต่อหุ้น โดยยังคงมองบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของ ACE แม้ว่าไทม์ไลน์โครงการยังไม่แน่นอน ซึ่ง ACE จะได้รับประโยชน์จากการส่งเสริมให้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและสนับสนุนเกษตรกรท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ สืบเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด-19 ผ่านทางการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน (หลักๆ เป็นโรงไฟฟ้าชีวมวล) อย่างไรก็ตามยังคงราคาเป้าหมายสำหรับโรงไฟฟ้าของ ACE ไว้เหมือนเดิม โดยยังไม่ได้รวมโครงการในอนาคตทั้งโรงไฟฟ้าชุมชนและโรงไฟฟ้า MSW เข้ามา



TTA อัพราคาเป้าหมายใหม่

ขณะที่หุ้น TTA เองนักวิเคราะห์หลายแห่งได้ทยอยปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย เช่น บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย TTA จาก 13 บาต่อหุ้นเป็น 19 บาทต่อหุ้น โดยประเมินว่า ในช่วงไตรมาส 1/64 ทาง TTA จะพลิกกลับมารายงานกำไรสุทธิ จำนวน 224 ล้านบาท เติบโตขึ้น 103% จากไตรมาสก่อน ซึ่งสาเหตุหลัก เกิดจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน หลังรายได้ค่าระวางเรือเพิ่มขึ้น 36% จากปีก่อน ด้วย TCE rate ที่ 13,654 ดอลลาร์/วัน ประกอบกับ จำนวนวันเดินเรือเพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน หลังซื้อเรือเพิ่ม 1 ลำ


อีกทั้ง ความต้องการสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 2/64 ซึ่งทำให้ TC rate ของตลาดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 23,185 ดอลลาร์/วัน ส่วนหนึ่งมาจากผลกระทบช่องแคบสุเอซถูกเรือ Evergiven ขวางเส้นทางเดินเรือนาน 1 สัปดาห์ ทั้งนี้ประเมินกำไรสุทธิปี 64 ของ TTA ไว้ที่ 752 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 1.9 พันล้านบาท โดยมีสาเหตุหลัก จากรายได้คาดไว้ที่ 1.56 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 21.5% จากปีก่อน ด้วย Assumption TCE rate ที่ 13,324 ดอลลาร์/วัน เทียบกับปี 63 อยู่ที่ 9,517 ดอลลาร์/วัน และ อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ 20% เทียบกับปี 63 อยู่ที่ 13.2% หนุนโดยค่าระวางเรือที่สูง และธุรกิจนอกชายฝั่งเริ่มกลับมาถึงจุดคุ้มทุน



PSL วัฏจักรขาขึ้นไปต่อ

บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่าดัชนีค่าระวางเรือเทกอง (Baltic Exchange Dry Index: BDI) ได้ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 11 ปีทีเดียว เช่นเดียวกับดัชนี BSI และ BHSI คาดว่าจะยังผลให้อัตราค่าระวางเรือเทกอง (TC Rate) ปรับตัวขึ้นได้ดีอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับวัฏจักรขาขึ้น (Up Cycle)


อีกทั้งคาดการณ์กำไรหลักไตรมาส 1/64 จะประกาศออกมาได้อย่างแข็งแกร่งเป็น 350 ล้านบาท ฟื้นตัวจากปีก่อน ที่เป็นขาดทุน -110 ล้านบาท และเทียบกับไตรมาสก่อนที่เป็นกำไรหลัก +33 ล้านบาท สืบเนื่องจากอัตราค่าระวางเรือเทกอง หรือ TC Rate ทำได้สูงมาก และต่อเนื่องมายังปัจจุบันซึ่งย่างเข้าสู่เดือน เม.ย.64 แล้ว


ทั้งนี้ได้มีการปรับประมาณการให้ดีขึ้นสำหรับปี 64/65 ที่อัตรา +105/+90% ตามลำดับ คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐานใหม่ที่ปรับขึ้นเป็น 18.50 บาท สอดคล้องกับการปรับประมาณการให้ดีขึ้น และประเมินด้วย Forward P/BV ปี 64 ที่ระดับ 2.0 เท่า ข้อดีคือ ปีนี้เป็นปีแรกที่เป็นกำไรถึง 2.6 พันล้านบาท ถือเป็นกำไรครั้งแรกในรอบ 9 ปีที่เป็นขาดทุน (ยกเว้นปี 61 ที่เป็นกำไร) และปี 65 กำไรโตต่อที่ระดับ 3.3 พันล้านบาท อีกทั้งปัจจุบันอุปสงค์มีมากกว่าอุปทาน ขณะที่การสั่งต่อเรือใหม่ (Order Book) ต่ำมาก ค่าเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 6%

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


Durant