ส่องงบ 8 หุ้นเด่นกลุ่มค้าปลีก จับตาปลดล็อคดาวน์แล้ว จะฟื้นแค่ไหน?
ที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มค้าปลีกได้รับผลกระทบเชิงลบจากการล็อกดาวน์ประเทศ ทำให้ยอดขายในส่วนของหน้าร้านหายไป แม้ผู้ประกอบการหลายแห่งจะนำกลยุทธ์ออนไลน์เข้ามาปรับใช้ แต่ก็ยังไม่สามารถทดแทนยอดขายจากหน้าร้านได้ทั้งหมด ดังนั้นหลังจากการคลายล็อกดาวน์หลายฝ่ายจึงคาดว่าผลประกอบการของธุรกิจค้าปลีกจะปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับไตรมาส 4/63 เป็นช่วงเทศกาลซึ่งเป็นไฮซีซั่นของหุ้นกลุ่มค้าปลีก รวมถึงภาครัฐได้ออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายอย่างช้อปดีมีคืนและโครงการคนละครึ่ง จึงคาดว่าจะส่งผลบวกต่อยอดขายและกำไรสุทธิของหุ้นในกลุ่มค้าปลีกแน่นอน แต่ก่อนจะไปดูแนวโน้มการเติบโตในอนาคต วันนี้ Wealthy Thai จะพามาสำรวจผลประกอบการไตรมาส 3/63 ของ 8 หุ้นเด่นในกลุ่มค้าปลีกก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง
โดยเริ่มที่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL มีกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ที่ 3,997.70 ล้านบาท ลดลง 28.76% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,611.84 ล้านบาท และมีรายได้รวม 135,500 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.8% เนื่องจากช่วงที่ผ่านมารายได้การขายและบริการของธุรกิจร้านสะดวกซื้อยังปรับตัวลดลงจากผลกระทบ Covid-19 แม้การบริโภคภายในประเทศหดตัวน้อยลงจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศของภาครัฐ แต่มาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศยังมีอยู่ทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามา อีกทั้งผู้บริโภคมีความระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO มีกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ที่ 1,572.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,482.63 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจแม็คโครประเทศไทยและแม็คโครต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น
บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO มีกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ที่ 1,400.52 ล้านบาท ลดลง 5.51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,482.25 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า และกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าและการให้บริการลูกค้าลดลง รวมถึงค่าใช้จ่ายทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจากกการปรับปรุงรายการตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 16 เรื่องสัญญาเช่า (TFRS16)
บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC มีกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ที่ 1,062.36 ล้านบาท ลดลง 40.12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,774.06 ล้านบาท สาเหตุหลักเนื่องจากยอดขายที่ลดลงของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่จากความ แตกต่างของฤดูกาลขาย
บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC มีกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ที่ 837.35 ล้านบาท ลดลง 39.55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,385.12 ล้านบาท โดยสาเหตุมาจากความกังวลการกลับมาระบาดอีกครั้งของเชื้อไวรัส Covid-19 มาตรการควบคุมการเดินทางเข้าออกระหว่างประเทศ และภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว รวมทั้งการควบคุมค่าใช้จ่ายของธุรกิจและการถูกเลิกจ้าง ทำให้กำลังซื้อของลูกค้าในประเทศและรายได้จากกลุ่มนักท่องเที่ยวลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน
บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL มีกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ที่ 455.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.03% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 437.87 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าผ่าน บริษัทโกลบอลเฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และการลงทุนในบริษัทย่อยในนาม Global House Cambodia Co.,Ltd และได้ปรับกลยุธ์การดำเนินงานเพื่อเพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งการตลาด
บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 มีกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ที่ 372.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 286.99 ล้านบาท เนื่องจากสินค้ากลุ่มไอทีและเทคโนโลยียังมีความต้องการสูง ทั้งนี้ บริษัทยังเติบโตได้แม้จะได้รับผลกระทบจากมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS16 ในปี 2563 รวม 37 ล้านบาท ซึ่งกระทบเฉพาะในส่วนของไตรมาส 3/63 จำนวน 7 ล้านบาท
และสุดท้าย บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME มีกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ที่ 187.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.02% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 133.97 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น และอัตรากําไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้นจาก 16.41% ในไตรมาส 3/62 เป็น 16.80% ในไตรมาส 3/63 รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่ลดลงด้วย
จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่าแม้จะมีการคลายล็อกดาวน์ในประเทศแล้ว แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวรวมถึงผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ทำให้สินค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภคไม่ได้เติบโตมากนัก แตกต่างสินค้ากลุ่มบ้านที่ค่อยๆฟื้นตัวตัว รวมถึงสินค้าไอทีและเทคโนโลยีที่ยังเติบโตได้ เนื่องจากการล็อกดาวน์ที่ผ่านมาทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตและการทำงานของผู้บริโภคเปลี่ยน ส่งผลให้ความต้องการใช้สินค้ายังมีสูง
CPALL ยังมี Upside 18.4% เข้าลงทุนรับการเติบโตระยะยาว
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ฝ่ายวิจัยปรับกำไรปี 2563-2564 ของ CPALL ลง 8.6% และ 19.1% ตามลำดับ จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ต่ำกว่าคาด โดยภาพรวมกำไร 9 เดือนปี 2563 ลดลง 25.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แย่กว่าคาดการณ์ปี 2563 ที่ประเมินลดลง 15.5% ซึ่งสาเหตุหลักมาจากผลกระทบ Covid-19 ต่อ SSSG ประกับการฟื้นตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนยังคาดหวังไม่มาก ดังนั้นในไตรมาส 4/63 จึงเชื่อว่าการเติบโตที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนยังใกล้เคียง ไตรมาส 3/63 ฝ่ายวิจัยจึงปรับลดสมมติฐาน SSSG ปี 2563-2564 ลงเป็นลดลง 13.4% และเติบโต 6.3% จากลดลง 9.4% และเติบโต 9.1% ตามลำดับ แม้ผลกระทบบางส่วนจะชดเชยจากการเลื่อนรับรู้ผลกระทบการซื้อ Tesco (ดอกเบี้ยจ่ายการกู้ต่ำกว่าส่วนแบ่งกำไรที่ได้ระยะแรก) เป็น 2564 (เดิมกำหนดรับรู้ในไตรมาส 4/63 ) แต่ภาพรวมยังเห็นผลกระทบต่อประมาณการปี 2563-2564 ลดลงจากเดิม 8.6% และ 19.1% จึงได้กำไรปี 2563 ลดลง 22.8% แต่กลับมาโตได้ 10.8% ในปี 2564 จากยอดขายที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะการปรับตัวขยายสินค้าและบริการใหม่ให้สอดคล้องพฤติกรรมลูกค้า เช่น สั่งของผ่านมือถือและส่งถึงบ้าน
ฝ่ายวิจัยจึงยังคงคำแนะนำ ซื้อ รับการเติบโตระยะยาว โดย CPLL ยังเด่นที่ธุรกิจมั่นคง และมีโอกาสต่อยอดกรณี Synergy กับ Tesco รวมถึงการขยายธุรกิจในต่างประเทศ ทั้งนี้มูลค่าพื้นฐานปี 2564 อิง DCF (WACC 8.3%, growth 2%) ที่ 74 บาท ซึ่งยังไม่รวม Synergy ระยะยาวข้างต้น ยังมี Upside อีก 18.4%
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก