
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย (KTB) มองว่า ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตได้เร็ว หลังจากเจอวิกฤติที่กระทบรายได้ ซึ่งหลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกคลี่คลายลง ประเมินว่าธุรกิจจะกลับมาเติบโตได้ต่อเนื่องในระยะยาว โดยภาพรวมธุรกิจในปี 65 คาดว่าธุรกิจจะขยายตัวต่อเนื่อง 42.5%YoY หลังจากในปี 64 ธุรกิจกลับมาฟื้นตัวได้ 32.3%YoY
.
ทั้งนี้ เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากปัจจัยชั่วคราว จากการรับรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 และความต้องการรักษาโรคที่ไม่เกี่ยวกับโควิด-19 ที่มีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าหลักที่มาใช้บริการในปี 65 ยังเป็นกลุ่มคนไข้ชาวไทย ซึ่งกลุ่มลูกค้าประกันสุขภาพ นับว่ามีศักยภาพที่จะช่วยหนุนรายได้ของโรงพยาบาลเอกชน
.
ขณะเดียวกัน ยังได้รับอานิสงส์จากการผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศตั้งแต่ช่วงปลายปี 64 และการเปิดประเทศในช่วงครึ่งปีหลัง 65 ส่งผลดีต่อรายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่มีสัดส่วนคนไข้ต่างชาติสูง อย่างโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) สมิติเวช (SVH) และกลุ่มกรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS)
.
Krungthai COMPASS ประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาในไทยในปี 65 อยู่ที่ราว 8.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากที่ประมาณการไว้ในช่วงครึ่งแรกของปี และในจำนวนนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนของกลุ่มคนไข้ต่างชาติที่ต้องการเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์ในไทยค่อนข้างสูง ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจ
.
สำหรับปี 66 คาดว่าสถานการณ์การเดินทางระหว่างประเทศจะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ทำให้การเดินทางระหว่างประเทศสะดวกขึ้น ส่งผลให้รายได้ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนสามารถขยายตัวต่อเนื่อง 19.8%YoY โดยมีปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมจากการฟื้นตัวที่เด่นชัดขึ้นของ Medical Tourism
.
ทั้งนี้ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนไข้ชาวต่างชาติ จากอาเซียน จีน รัสเซีย ญี่ปุ่น และตะวันออกกลาง จะยังคงกลับมาใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนในไทย เนื่องจากเชื่อมั่นในคุณภาพการรักษา ค่ารักษาพยาบาล และค่าครองชีพไม่สูงมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน อีกทั้งมีมาตรฐานและบริการที่ดี ซึ่งประเทศไทยมีสถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน โรงพยาบาลระดับสากล 59 แห่ง
.
ขณะที่ปัจจัยสนับสนุนสำคัญตามโครงสร้างพื้นฐานเดิมยังส่งผลอยู่ คือ ความต้องการการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนคนไข้ และอัตราการเจ็บป่วยที่สูงขึ้น ทั้งจากวิถีการดำเนินชีวิตที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค สังคมผู้สูงอายุ และการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ ที่รุนแรงขึ้น
.
Krungthai COMPASS ระบุว่า ลูกค้ากลุ่มประกันสุขภาพ ยังเป็นเป้าหมายสำคัญที่ช่วยหนุนรายได้ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบาง และแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น
.
โดยจากข้อมูลโครงสร้างการจ่ายค่ารักษาพยาบาลของคนไข้โรงพยาบาลเอกชนจาก Fitch Solutions พบว่า คนไข้ที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเองมีสัดส่วนมากที่สุด รองลงมา เป็นลูกค้ากลุ่มประกันสุขภาพ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของกลุ่มโรงพยาบาลในเครือ BDMS ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด
.
ดังนั้น ท่ามกลางสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบาง ขณะที่กำลังซื้อต้องเผชิญกับแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น กลุ่มลูกค้าประกันสุขภาพถือเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพที่จะเข้ามาช่วยหนุนรายได้ของโรงพยาบาลเอกชน หลังจากที่ปัจจัยชั่วคราวจากการรับรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19
.
และรายได้จากวัคซีนทางเลือกทยอยหมดลง ซึ่งการขยายฐานลูกค้ากลุ่มนี้ต้องมีการวางกลยุทธ์ และสร้างความร่วมมือกับบริษัทประกันฯ เพื่อออกแบบกรมธรรม์และเพิ่ม Privilege ในการใช้บริการที่โรงพยาบาลเอกชนนั้นๆ
.
ขณะที่คนไทยกังวลเรื่องสุขภาพ สนใจซื้อประกันสุขภาพเพื่อป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน จากวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนไทยตื่นตัวในเรื่องของการดูแลสุขภาพ การป้องกันโรค และการรักษาโรคมากขึ้น รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับภาระค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของการซื้อประกันสุขภาพ เพื่อลดความเสี่ยงจากการแบกรับภาระค่ารักษาพยาบาลที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งต้องการความสะดวกสบายจากการใช้บริการในโรงพยาบาลเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ระดับปานกลาง
.
สอดคล้องกับรายงานการศึกษา เรื่อง ประมาณการค่าใช้จ่ายสาธารณะด้านสุขภาพในอีก 15 ปีข้างหน้า ของ TDRI ที่พบว่า อัตราการใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าแปรผกผันกับรายได้ นั่นคือ เมื่อรายได้เพิ่มขึ้นอัตราการใช้สิทธิจะลดลง และยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อไปโรงพยาบาลเอกชน หรือซื้อประกันสุขภาพ เพราะต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น
.
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบเบี้ยประกันสุขภาพรวมระหว่างช่วงครึ่งปีแรก 62 (ก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19) กับครึ่งปีแรก 65 พบว่า ครึ่งปีแรก 65 มีมูลค่าเบี้ยประกันสุขภาพรวมมากกว่าครึ่งปีแรก 62 ถึง 1.3 เท่า อย่างไรก็ดี Krungthai COMPASS มองว่า การขยายตัวของประกันสุขภาพยังมี room to grow เนื่องจากเบี้ยประกันสุขภาพรวมต่อจำนวนประชากร ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ปี 64 มีค่า 1,691 บาทต่อคน
.
ขณะที่อานิสงส์ของการยกเลิก Thailand Pass เป็นแรงหนุนให้ Medical Tourism ทยอยฟื้นตัว โดยก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 ลูกค้ากลุ่มท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ เป็นลูกค้าสำคัญที่สร้างรายได้ให้โรงพยาบาลเอกชนให้เติบโตต่อเนื่อง แต่เมื่อเกิดวิกฤติ ทำให้รายได้ส่วนนี้หดหายไปจากการงดเดินทางระหว่างประเทศ
.
อย่างไรก็ดี รัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 64 และเริ่มเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบในช่วงครึ่งปีหลัง 65 โดยการยกเลิก Thailand Pass ทำให้รายได้ของโรงพยาบาลเอกชนที่พึ่งพารายได้จากคนไข้ต่างชาติในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงกลับมาขยายตัวอีกครั้ง ส่งผลให้การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในปี 65 ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
.
ทั้งนี้ คาดว่าจะฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในปี 66 โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ได้แก่ สถานพยาบาลในไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล JCI 59 แห่ง มากกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ค่ารักษาพยาบาลไม่สูงมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน อีกทั้งยังมีมาตรฐานและบริการที่ดี พร้อมด้วยชื่อเสียงในเรื่องการรักษาพยาบาลเฉพาะทาง นอกจากนี้ ค่าครองชีพในไทยยังไม่สูงมาก เหมาะแก่การพำนักรักษาตัวและพักฟื้นร่างกายในระยะยาว
.
Krungthai COMPASS ระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 65 รายได้จากการดำเนินธุรกิจและกำไรสุทธิของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดฯ จำนวน 24 ราย ขยายตัวต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวม 125,499 ล้านบาท ขยายตัว 48.9%YoY ด้านกำไรสุทธิมีมูลค่า 24,226 ล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 173.8%YoY
.
โดยกลุ่มลูกค้าหลักที่มาใช้บริการเป็นคนไข้ชาวไทย และยังได้รับอานิสงส์จากการผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศตั้งแต่ช่วงปลายปี 64 ส่งผลดีต่อรายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่มีสัดส่วนคนไข้ต่างชาติสูงอย่างโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช กลุ่ม BDMS
.
อย่างไรก็ดี แม้ว่าธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนจะมีศักยภาพในการเติบโต แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องพิจารณา คือ Telemedicine หรือ Telehealth อาจเปลี่ยนสถานะจากผู้ช่วย กลายเป็นคู่แข่งธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังจากเกิดวิกฤติโควิด-19 เทคโนโลยีด้านสุขภาพ (Health Tech) ได้เข้ามามีบทบาทด้านการรักษาพยาบาลและการดูแลสุขภาพเด่นชัดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพทย์ทางไกลที่เป็นที่รู้จักและคุ้นเคยกันในชื่อ Telemedicine หรือ Telehealth เดิมได้ถูกนำมาใช้เพื่อเสริมศักยภาพในการให้บริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาล
.
ทั้งนี้ ในระยะถัดไปการแพทย์ทางไกลอาจจะถูกนำมาให้บริการในรูปแบบ Telehealth Kiosks ตามห้างสรรพสินค้า ศูนย์ราชการ โดยหน่วยงานรัฐ หรือความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการกลุ่ม Health Tech กับค่ายมือถือ คลินิกเวชกรรม ร้านขายยา ที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งแม้ว่าจะยังไม่สามารถแทนที่โรงพยาบาลได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็ถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่าจับตามอง
.
ด้านภาพรวมมูลค่าตลาดของ Telehealth Kiosks ทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นซึ่งจากผลการสำรวจของ Arizton Advisory & Intelligence ได้ประเมินมูลค่าตลาดโลกของ Telemedicine คาดว่า ในปี 70 มูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.18 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากปี 64 ที่มีมูลค่า 1.12 พันล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตเฉลี่ยปีละ 19.0%
.
อย่างไรก็ดี โรงพยาบาลเอกชนสามารถนำ Health Tech มาช่วยเสริมศักยภาพในการให้บริการทางการแพทย์ให้ดียิ่งขึ้นด้วยต้นทุนการบริการที่ถูกลง รวมถึงนำเทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ มาใช้ในการรักษา พยาบาลที่มีความซับซ้อนของ รวมถึงการผลักดันให้แพทย์มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งจะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือ และสร้างการเติบโตรายได้ให้โรงพยาบาลในระยะยาว
.