’จิตตะ เวลธ์‘ แนะฝ่าวิกฤติโลกผันผวน ลงทุนอย่างไรให้พอร์ตปลอดภัย
ความแปรปรวนของโลกที่เราสัมผัสได้ในช่วงนี้ นอกจากความอบอ้าวของสภาพอากาศประเทศไทยในเดือน เม.ย.แล้ว ‘ความแปรปรวนตลาดการเงินโลก‘ ก็มีไม่น้อยจริงไหม

สินทรัพย์การเงินทั่วโลก ขึ้นลงผันผวนเพียงชั่ววินาทีจากน้ำคำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หากย้อนไปเมื่อครั้งที่ทรัมป์เริ่มประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ตั้งแต่ช่วงเดือนก.พ.ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ประเด็นภาษีถือเป็น 1 ในปัจจัยที่สร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินโลกในปีนี้มากที่สุด
ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าโลก การเติบโตทางเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจต่างๆ ที่ยังไร้ทิศทาง จนทำให้การดำเนินนโยบายดอกเบี้ยของเฟดยังต้องรอช่วงเปลี่ยนผ่านข้อมูล สะท้อนผลกระทบของสงครามการค้าโลกที่เพิ่งเริ่มต้น
"ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์" CEO Jitta Wealth กล่าวว่า เราได้เห็นการปรับตัวของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ดิ่งลงอย่างต่อเนื่องนำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เคยปรับขึ้นแรงทำนิวไฮตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แม้กระทั่งตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ที่พันธบัตรถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำที่ทั่วโลกยอมรับกันมานานก็เผชิญความปั่นป่วนไปด้วย เกิดแรงเทขายอย่างหนักในช่วงเดือนเม.ย.นี้
เสียงเตือนจากเฟดที่ออกมาบอกว่า ผลสำรวจภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ สะท้อนความเชื่อมั่นของทั้ง 2 ภาคที่มีต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจ "ดิ่งลงอย่างหนัก" ส่วนใหญ่สืบเนื่องจากมาตรการรีดภาษี
โพลจาก Bank Of America ระบุว่า “ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 30 ปี”
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้มีการคาดการณ์การเติบโตของ GDP โลกลดลงมาเหลือ 2.8% จากก่อนหน้านี้ที่ตั้งไว้ที่ 3.3% และส่วนของการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองก็อาจปรับลดลงจากปี 2024 ที่ 2.8% ลงเหลือเพียง 1.8% สำหรับปี 2025
คริสตาลินา กอร์เกียวา กรรมการจัดการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายใหญ่หลวงด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค อันเกิดจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 100 ปี และเป็นสาเหตุให้ IMF ต้องปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ในครั้งนี้
พร้อมกับส่งสัญญารเตือนว่า ประเทศต่าง ๆ ควรเร่งเดินหน้าปฏิรูปเศรษฐกิจ เช่น การปรับปรุงกฎระเบียบ การสนับสนุนนวัตกรรม และเพิ่มผลิตภาพ เพื่อรับมือกับแรงกดดันจากความตึงเครียดทางการค้า พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประเทศเศรษฐกิจหลักเร่งแก้ปัญหาความขัดแย้งด้านภาษีอย่างรวดเร็ว เพื่อคลี่คลายความไม่แน่นอนที่กำลังทำให้การลงทุนและการบริโภคหยุดชะงัก
แม้ว่าล่าสุดสถานการณ์เริ่มมีความคลี่คลายมากขึ้น โดยทรัมป์เริ่มเปิดทางที่จะมีการเจรจากับจีนในการปรับระดับภาษีนำเข้าลงมาจากที่ปัจจุบันอยู่ที่ 145% โดยได้กล่าวว่าจะมีการปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่น้อยลงอย่างมากแต่จะไม่เป็น 0%
ท่าทีที่อ่อนลงต่อการขึ้นภาษีของนายทรัมป์ในช่วงนี้ซึ่งถือว่าเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น
แต่หากดูในส่วนของผลตอบแทนดัชนี S&P500 ตั้งแต่ช่วงต้นปียังมีผลตอบแทนที่ติดลบอยู่ -9.90% ซึ่งหลังจากนี้ต้องรอดูการเจรจาระหว่างทรัมป์และจีนว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางด้านการค้าได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังต้องรอดูว่าการขึ้นภาษีเหล่านี้จะกระทบต่อเป้าหมายของ ธนาคารกลางสหรัฐหรือ FED ในการควบคุมดอกเบี้ยนโยบายระยะยาวที่จะส่งผลโดยตรงต่อตลาดหุ้นด้วยหรือไม่ เพราะปัจจุบันเงินเฟ้อก็ยังอยู่ในระดับที่มากกว่าเป้าหมาย FED ที่ 2%
หากเป็นนักลงทุนที่อยู่ในตลาดมานาน ผ่านวิกฤติการลงทุนมามาก เราจะเรียนรู้ว่าวิกฤติเกิดขึ้นได้เสมอ และตลาดใช้เวลาในการ recover มาจุดเดิมได้เสมอ
"ตราวุทธิ์" จะพาย้อนไปดูการฟื้นตัวของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในแต่ละวิกฤติที่ผ่านมา เช่น วิกฤติ Dot com bubble ตลาดใช้เวลาฟื้นตัว 13 ปี หรือช่วงที่เกิดวิกฤติ Subprime Crisis ตลาดใช้เวลาฟื้นตัว 5 ปี วิกฤติ Trade War ในยุคทรัมป์ 1.0 ตลาดใช้เวลาฟื้นตัว 7 เดือน วิกฤติโควิด ตลาดใช้เวลาฟื้นตัว 8 เดือน
"ในรอบนี้ผมเองก็ไม่สามารถตอบได้ว่าตลาดจะใช้เวลาฟื้นตัวมากน้อยเพียงใด แต่สถิติที่ผ่านมา บอกชัดแล้วว่า การฟื้นตัวรออยู่ข้างหน้าอย่างแน่นอน การลงทุนในยามที่ตลาดยังไม่ฟื้นตัวจึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาว"
หากคุณยังไม่กล้าที่จะกระโดดเข้าไปในโอกาสทองครั้งนี้ ก็เข้าใจดี กลยุทธ์การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เป็นแบบ "Wait and See" หรือค่อยๆ ทยอยลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) ในพอร์ตการลงทุนปัจจุบันก็น่าจะเป็นคำตอบที่ดีอยู่
เพราะไม่ว่าผมจะเชื่อมั่นสถิติมากเพียงใด แต่เหตุผลที่ควรระมัดระวังและรอดูสถานการณ์นั้น เพราะในช่วงแรกๆ นั้นผลกระทบจากสงครามการค้า (Trade War) ในช่วงนั้นมักจะค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของ Sentiment หรือความเชื่อมั่นของตลาด ที่ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับทิศทางนโยบายของทรัมป์ ซึ่งทำให้การประกาศนโยบายแต่ละครั้งส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดหุ้น
นอกจากนี้ การตอบโต้ด้วยภาษีศุลกากรแบบตาต่อตา (Reciprocal Tariff) ยังถูกเลื่อนออกไป 90 วัน และปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างการเจรจาระหว่างประเทศ ซึ่งผลลัพธ์ของการเจรจานี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นในอนาคต
และระหว่างนี้หากการเจรจาไม่เป็นผล หรือมีมาตรการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงออกมา ก็อาจทำให้ตลาดหุ้นผันผวนและปรับตัวลดลงได้ ในทางกลับกัน หากการเจรจาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และสามารถบรรลุข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายได้ ก็อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวและปรับตัวสูงขึ้นได้
ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนของการลงทุนแต่ละประเภทอย่างรอบคอบ และปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง อาจพิจารณาทยอยลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ อาจพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือทองคำ
อีกกลยุทธ์ที่นักลงทุนควรปรับใช้อย่างจริงจังในระยะยาว คือ การจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite โดยพิจารณาสินทรัพย์ที่จะลงทุนจากระดับความเสี่ยงที่รับได้ให้เป็น Core Port และให้น้ำหนักเป็นสัดส่วนหลักของพอร์ต ควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง เช่น ตราสารหนี้ และกองทุนหุ้นดัชนี โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 70-80% ของพอร์ต ขณะที่ Satellite Port ซึ่งเป็นส่วนที่สามารถสร้างโอกาสในการเติบโตสูงขึ้น เน้นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จัดสัดส่วน 20-30%
แต่หากถามถึงตลาดที่น่าลงทุน ผมเองก็ยังมองว่าตลาดหุ้นจีน จากศักยภาพในการเติบโตยังน่าสนใจ จากตัวเลข P/E ยังถือว่าถูกอยู่ แต่ในการจัดสัดส่วนของพอร์ต นั้น นักลงทุนสามารถจัดให้อยู่ในส่วนของ Satellite Port ไว้บ้างเพื่อรับโอกาสการเติบโตในอนาคต
ในตลาดที่มีความผันผวนรออยู่มากเช่นนี้ คำแนะนำจากผมคือ คุณต้องพยายามกระจายสินทรัพย์การลงทุน ไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น หุ้น, ตราสารหนี้, หรือแม้แต่ทองที่ช่วงที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง เนื่องจากความไม่แน่นอนระหว่างประเทศ ผมย้ำว่าการกระจายความเสี่ยงจะทำให้พอร์ตโดยรวมนั้นสามารถผ่านวิกฤติในช่วงนี้ไปได้
สุดท้ายนี้ผมอยากให้นักลงทุนทุกท่าน ตั้งสติ พยายามมองข้ามความผันผวนระยะสั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอในตลาดทุน นักลงทุนระยะยาวควรมีมุมมองที่มุ่งเน้นไปที่การเติบโตของธุรกิจและมูลค่าในระยะยาว เพื่อรักษาพอร์ตให้ปลอดภัยและ ไม่ทิ้งโอกาสการลงทุนที่จะฟื้นตัวกลับมาได้ในอนาคตอันใกล้นี้
ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1178761