ห้องเม่าปีกเหล็ก

เปิดโผหุ้น 4 กลุ่ม รับผลกระทบดอกเบี้ยขาขึ้น ฉุดกำลังซื้อ-ต้นทุนพุ่ง

โดย บุปผาวดี
เผยแพร่ :
124 views
เปิดโผหุ้น 4 กลุ่ม รับผลกระทบดอกเบี้ยขาขึ้น ฉุดกำลังซื้อ-ต้นทุนพุ่ง
 
 
 
ฝ่ายวิจัย บล.เคทีบีเอสที ( KTBST) เผยผ่านบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอาจเกิดเร็วกว่าคาด หลังจากเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 22 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่มีมติเสียงแตกเป็น 4 ต่อ 3เพราะแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อที่เป็นขาขึ้น ทำให้ตลาดคาดการณ์จะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้เร็วกว่าคาด
.
ทาง KTBST คาดว่าจะเห็น กนง. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2022E ที่ 0.50% (ครั้งละ 0.25% ในเดือน ก.ย. 22และ ธ.ค. 22) จากปัจจุบันที่ 0.50% และคาดในปี 2023E จะปรับขึ้นอีก 0.75% (ครั้งละ0.25% ภายใน 1H23E) ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2023E จะอยู่ที่1.75%
.
ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นเป็นบวกต่อกลุ่มธนาคารและเป็นลบต่อกลุ่มการเงิน, อสังหาฯ และกลุ่มที่มีเงินกู้ในระดับสูง การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในประเทศ จะส่งผลลบต่อหุ้นโดยรวม เนื่องจากต้นทุนเงินกู้ยืมจะเพิ่มขี้นตามดอกเบี้ยเงินกู้และรายได้ของบางบริษัทที่ลดลงจากกำลังซื้อที่ลดลง
.
จากการศึกษาแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี 2010-2011 ที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจาก 1.25% เป็น 3.50% ภายในระยะเวลา 1.5 ปี
(Fig 1) พบว่า
.
(+ ) กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ (BBL, KTB, KBANK, SCB) จะปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกันกับ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เพิ่มขึ้น โดยมี Correlation เฉลี่ยที่59% และมีผลตอบแทนเฉลี่ย 64% (ช่วง 1 มิ.ย. 10-1 ส.ค. 11 ซึ่งเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดไปถึงจุดสูงสุด)
.
ทั้งนี้เราประเมินเบื้องต้นว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ขึ้นทุกๆ 0.25% จะมี upsideต่อประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ราว 2-4% (Fig ???? (ประเมินผลกระทบต่อ NIM อย่างเดียวและยังไม่ส่งผลกระทบต่อ NPL) โดยธนาคารขนาดใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากมาก-น้อยคือ BBL, KTB, KBANK และSCB
.
( - ) กลุ่มการเงิน เราศึกษาหุ้น AEONTS และ KTC ในช่วงปี 2010-2011 พบว่าในระยะสั้น (ช่วง 1-9เดือน) Correlation จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกันกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเฉลี่ยที่ 71% และปรับตัวลงในช่วงหลัง 9เดือนคิดเป็น Correlation เฉลี่ยที่ -56% (Fig 6-7) เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนแหล่งเงินทุนจากหุ้นกู้ (อัตราดอกเบี้ยคงที่) ที่สูง และสามารถบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินผ่านการกู้ยืมเงินระยะสั้นได้ ขณะที่ระยะยาวต้นทุนหุ้นกู้ชุดใหม่จะเพิ่มขึ้นทิศทางเดียวกันกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
.
การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ระยะสั้น ประเมินว่าจะได้รับผลกระทบที่จำกัด โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้พึ่งพิงแหล่งเงินทุนจากหุ้นกู้ที่มีการล็อคอัตราดอกเบี้ย (บริษัทได้ออกหุ้นกู้รวมคิดเป็นประมาณ 53% ของเงินกู้ยืมรวม) และสามารถบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินผ่านการกู้ยืมเงินหรือออกหุ้นกู้ระยะสั้นที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำได้
.
( - ) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จะได้รับผลกระทบจาก 1) การชะลอซื้ออสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับตัวขึ้น และ 2) ต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น ทำให้ GPM ในอนาคตลดลง
.
ทั้งนี้ ประเมินว่ากลุ่มตลาดล่างจะได้รับผลกระทบมากสุด ได้แก่ LPN, PSH
( - ) กลุ่มที่พึ่งพาเงินกู้ในระดับสูง ได้แก่ - BAFS (ซื้อ/เป้า 35.00 บาท) จะได้รับผลกระทบเนื่องจากบริษัทมี D/E สูงถึง2.4x โดยเราประเมินต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นทุกๆ +0.25% จะกระทบกำไรสุทธิราว -5% อย่างไรก็ตาม มองว่าแนวโน้ม D/E จะผ่อนคลายขึ้นนับจากนี้ตามผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัว
.
(- ) กลุ่มโรงไฟฟ้า ได้แก่ GULF (ถือ/เป้า 47.00 บาท), BGRIM (ซื้อ/เป้า 45.00บาท), RATCH (ซื้อ/เป้า 50.00 บาท), CKP (ซื้อ/เป้า 7.40 บาท), SSP (ซื้อ/เป้า16.00 บาท) ส่ง sentiment เชิงลบจากต้นทุนการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคตอาจสูงขึ้น ซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าปกติมีการท า project finance ที่ใช้สัดส่วนหนี้สินค่อนข้างสูง (D/E ที่ 3x)
 
 
 
 
 

บุปผาวดี