ห้องเม่าปีกเหล็ก

กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ในวันที่เงินเฟ้อสหรัฐฯพุ่งแรง

โดย หญิงแม้น
เผยแพร่ :
62 views

กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมียืนหนึ่ง ในวันที่เงินเฟ้อสหรัฐฯพุ่งแรง

ในวันที่ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ (CPI) ล่าสุดเดือนเม.ย.อยู่ที่ระดับ 4.2% ซึ่งถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงในรอบ 13ปี ซึ่งสูงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ นั่นหมายความว่าอัตราเงินเฟ้อโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าของราคาสินค้าต่างๆที่เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์บางค่ายให้เห็นผลว่า จากฐานที่ต่ำในช่วงปีก่อน ขณะเดียวกันตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นทิศทางเศรษฐกิจโลกกำลังจะฟื้นตัวขึ้น


โดยนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  มองว่าทิศทางของเงินเฟ้อสหรัฐฯมาเร็วจนเกินไป จึงทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจำนวนเม็ดเงินที่กระตุ้นเศรษฐกิจเห็นผลชัดเจน จึงอาจจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐอาจจะชะลอการใช้มาตรการ QE ลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรหรือสินทรัพย์ และอาจจะเป็นสัญญาณให้มีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบาย


อย่างไรก็ตามจะต้องจับรอดูตัวเลขดัชนีเงินเฟ้อของสหรัฐฯในงวดเดือนพ.ค.รวมถึงผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในช่วงกลางเดือนมิ.ย.ซึ่งขณะนี้ตัวเลขเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงร้อนแรง หากธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณอะไรออกมาอาจจะส่งผลต่อตลาดหุ้นได้


ทั้งนี้หากย้อนไปดูตัวเลขที่เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเป็นเพราะราคาของผลิตภัณฑ์คอมมูนิตี้ต่างๆเช่นพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง ประกอบกับเรื่องเทรนด์ราคารถบรรทุกมือสองของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นมาในระดับสูง อีกทั้งราคาค่าตั๋วเครื่องบินที่ขยับขึ้นเพราะการเดินทางระหว่างประเทศเริ่มฟื้นตัว ซึ่งสัญญาณดังกล่าวช่วยตอบโจทย์ว่าทิศทางของเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปกำลังเร่งตัวขึ้น


โดยตลาดให้น้ำหนักปัจจัยที่ชัดเจนในระยะสั้นมากขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่สะท้อนให้เห็นจากการเคลื่อนไหวของกระแสเงินทุน พบว่า ตลาดหันมาให้น้ำหนักปัจจัยที่ชัดเจนในระยะสั้น และลดทอนความคาดหวัง สิ่งที่ไม่แน่นอนในระยะยาว ซึ่งเกิดแรงขายหุ้น Growth Stock ที่เล่นความคาดหวัง และซื้อขายบน multiple สูง (เช่น กลุ่ม TECH) สลับเข้าซื้อหุ้น Value ที่แนวโน้มระยะสั้นมีความชัดเจน เช่น กลุ่มพลังงาน อีกทั้งสัญญาณของ Yield Curve ชันขึ้น สะท้อนแรงขายพันธบัตรระยะยาวและสลับเข้าซื้อพันธบัตรระยะสั้น ดังนั้น จึงประเมินกลุ่มหุ้นที่มีความน่าสนใจ เป็นโอกาสสะสมเมื่ออ่อนตัว


ดังนั้นในกลุ่มหุ้นของไทยที่ได้รับประโยชน์จากภาวะเงินเฟ้อรอบใหม่ของสหรัฐคงจะหนีไม่พ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีที่ธุรกิจยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวช่วยพยุงดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ให้ปรับตัวลดลงแรงท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่หุ้นที่มีน้ำหนักและมีผลต่อดัชนีจะเป็นหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมแบบเก่าเช่น กลุ่มพลังงานและปิโตเคมี โดยกลุ่มหุ้นพลังงาน และปิโตรเคมีที่ยังเป็นตัวหลักและมีความน่าสนใจอยู่ ขณะนี้ได้แก่ IRPC ,ESSO ,PTTGC , PTT,TOP


โดยบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองต่อ IRPC ว่ามีศักยภาพเป็นหุ้น Value play และมีโอกาสโดดเด่นกว่ากลุ่ม เมื่อตลาดหมุนเวียนกลับเข้าสู่กลุ่มพลังงาน ราคาหุ้นซื้อขายที่ P / B ปี 64 ที่ 1เท่า โดยราคา IRPC ขึ้นช้ากว่าคู่แข่ง ราคาเป้าหมายที่ 4.50 บาท


ขณะที่แนวโน้มเชิงบวกเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ยืดหยุ่นและอุปทานที่ตึงตัวสำหรับ PP และ ABS ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและต่อเนื่องในไตรมาส 2/64 เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงในภูมิภาค การฟื้นตัวของค่าการกลั่นคาดว่าจะยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป


อย่างไรก็ตามฤดูการซ่อมบำรุงไตรมาส 2/64 ในเอเชียน่าจะทำให้อุปทานค่อนข้างตึงตัว ความต้องการ PP ยังคงสูงจากการใช้บรรจุภัณฑ์อาหาร ของใช้ในบ้านและเครื่องใช้เพิ่มขึ้น ความต้องการ ABS ของจีน (อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์) กลับมาสู่ระดับก่อนโควิด


สำหรับไตรมาส 2/64 ผู้บริหารคาดว่าสเปรด ABS และ PP อาจลดลงเหลือ 1600 และ 700 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยสมมติฐานสเปรด ABS และ PP ของเราปี 64 อยู่ที่ 1300 และ 650 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งทุกๆ 100 บาทต่อตันต่อปีที่เพิ่มขึ้นใน ABS และ PP จะเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นที่รวมธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น (GIM) อยู่ที่ 0.3เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล  และ 1เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลหรือ 22% และ 70% ให้กับรายได้ปี 64


ขณะที่มุมมองของบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ปรับกำไรปีนี้เป็น 7.7 พันล้านบาท และราคาเหมาะสมใหม่ 4.70 บาท โดยระยะสั้นหุ้นจะได้แรงส่งจากการถูกปรับเพิ่มประมาณการ และโอกาสเข้าคำนวณใน SET50 ทั้งนี้ เราแนะนำรอซื้ออ่อนตัว เพราะมองว่า Upside ระยะสั้นจำกัด เนื่องจากถูกเก็งกำไรขึ้นมาก่อนแล้ว กอปรกับแนวโน้ม 2Q64 ลดลงจากฐานสูง เชิงกลยุทธ์นักลงทุนอาจเข้าเก็งกำไร PTT ที่งบ 1Q64 มีโอกาสดีกว่าคาดสอดคล้องกำไรบริษัทลูกที่รายงานออกมา


สำหรับ PTT ในวันที่ตลาดหุ้นไทยลงแรงกว่า 70 จุด เมื่อวันที่ 13 พ.ค.64 และปิดตลาดที่ลดลง 23 จุด ราคาหุ้นของ PTT ยังคงแข็งแกร่งแม้ในสภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวนและได้รับปัจจัยหนักที่เข้ามากระทบ แต่สาเหตุที่พอจะคาดการณ์ได้คือ PTT ในฐานะที่เป็นบริษัทแม่ ที่มีบริษัทลูกประกอบธุรกิจปิโตรเคมีที่เป็นกลุ่มคอมมูนิตี้ที่ราคายังคงแกร่งและฟื้นตัวต่อเนื่องจากความต้องการใช้ทั่วโลก จึงทำให้ราคาหุ้นของ PTT เองยังยืนเด่นอยู่ได้


โดย บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ในปี 64 จะเป็นปีที่สำคัญสำหรับ PTT นอกเหนือจากการควบรวมกิจการในพลังงานหมุนเวียน ซึ่งทาง PTT สนใจพลังงานแสงอาทิตย์ของอินเดียมากขณะเดียวกัน ยังมีประเด็นที่ GULF และ BGRIM จะเริ่มจัดส่ง LNG เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเปิดเสรีก๊าซซึ่งจะให้ความชัดเจนแก่ตลาดว่ารูปแบบสุดท้ายจะมีลักษณะอย่างไรและส่งผลกระทบอย่างไรต่อ


ทั้งนี้ คาดว่า จะเห็นPTT ฟื้นตัวของกำไรที่แข็งแกร่งในปี 64 เนื่องจากผลกระทบจาก Covid19 ผ่อนคลายลงและราคาพลังงานที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม แนะนำให้นักลงทุนติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด เราโรลโอเวอร์เป้าหมายไปปี 64 คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 50 บาท (ลด EV / EBITDA ก๊าซลงมาที่ 9 เท่าจาก 10 เท่าจากความไม่แน่นอน)


นอกจากนี้ PTT มีแผนการลงทุนอย่างชัดเจน โดยค่าใช้จ่ายลงทุนที่มีภาระผูกพันของกลุ่ม (2564-68) อยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำ51% ปลายน้ำ 31% ก๊าซ 12% และธุรกิจไฟฟ้า 6% ภายในปี 2573 ปิโตรเคมี-โรงกลั่น จะคิดเป็น 15% ของกลุ่มบริษัท ในขณะที่พลังงานทดแทน จะเพิ่มขึ้นเป็น 18% นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในกลยุทธ์


โดยผู้บริหารชี้แนะว่าจะไม่ลงทุนในการขยายกำลังการกลั่นอีกต่อไป แต่มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพแทน โดยยืนยันมุมมองของเราว่าธุรกิจการกลั่นยังท้าทาย PTT มุ่งมั่นสร้างเคมีภัณฑ์พิเศษมูลค่าสูง เป้าหมายพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2573 คือ 8,000 MW โดยมุ่งเน้นไปที่โครงการพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ ไต้หวันและจีนเน้นพลังงานลมในขณะที่อินเดียโดดเด่นด้านพลังงานแสงอาทิตย์


ด้านของ TOP ยังคงเป็นหุ้นโรงกลั่นและปิโตรเคมี ที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะจากฝั่งธุรกิจปิโตรเคมีด้านอะโรเมติกส์โดยบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า ผู้บริหารระบุว่า GIM น่าจะดีขึ้นในไตรมาส 2/64 เป็น 4.5-5 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล ขณะที่ Market GRM น่าจะลดลงระหว่าง 1-1.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นจะแซงหน้าต้นทุนน้ำมันดิบ


ขณะที่น้ำมันเบนซิน น้ำมันอากาศยานและดีเซลเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/64 เป็น 56% 39% และ 27% เป็น 11 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล 4.65 เหรียญสหรัฐบาร์เรลและ 5.08 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยสต็อกน้ำมันเบนซินทั่วโลกต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี แต่น้ำมันสำเร็จรูปกึ่งหนักกึ่งเบา (middle distillates) ยังคงอยู่ในระดับสูง (กรอบบน)


ด้านธุรกิจอะโรเมติกส์น่าจะยังคงทำกำไรดีกว่าเนื่องจากสเปรด PX และ BZ เพิ่มขึ้น 8% และ 64% จากไตรมาสก่อน เพราะ PX ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ GIM น้ำมันหล่อลื่นไตรมาส 2/64 จะยังคงแข็งแกร่งที่ 1.5-1.8 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ Capex ไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเหลือเงิน 1.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลสำหรับปีนี้


ดังนั้น ยังคงคาดการณ์ผลประกอบการปี 64 ไม่เปลี่ยนแปลงในตอนนี้ (GIM ที่ 4.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล) แนวโน้มที่ดีกว่าที่คาดไว้ในกลุ่มอะโรเมติกส์ / น้ำมันหล่อลื่นจะชดเชยค่าการกลั่นที่อ่อนแอในครึ่งหลังของปี 64 โดยความคาดหวังของเราคือค่าการกลั่นจะเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง เนื่องจากความต้องการน้ำมันเครื่องบินลดลง


ในขณะที่อะโรเมติกส์จะอ่อนตัวลงเมื่อโรงงาน PX ใหม่เริ่มผลิตในจีน การระบาดของ Covid19 ระลอกใหม่ยังคงเป็นความเสี่ยงหลักต่อการฟื้นตัวของค่าการกลั่น คงแนะนำ ถือ ราคาเป้าหมายไม่เปลี่ยนแปลงที่ 58 บาท


ในมุมองของ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ได้คงประมาณการกำไรปี 64 ของ PTTGC ไว้ที่ 15.3 พันล้านบาท สูงขึ้นอย่างมากจาก เทียบกับ 200 ล้านบาทในปี 63 โดยมีปัจจัยผลักดันจากราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่สูงขึ้นตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ  ซึ่งประเมินราคาน้ำมันดิบไว้ที่ 58 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สูงขึ้น 38% จากปีก่อน ประกอบกับ crack spread ที่ฟื้นตัวจากอุปสงค์ผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ดีขึ้นหลังมีการใช้วัคซีน COVID-19 อีกทั้งยังมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน


ทั้งนี้ราคา PE และกำลังการผลิตใหม่จาก ORP น่าจะช่วยให้กำไรยืนสูงในไตรมาส 2/64 เราเชื่อว่า PTTGC จะยังคงได้รับประโยชน์จากราคา PE ที่สูง โดยราคา HDPE เฉลี่ยในเดือน พ.ค. อยู่ที่ 1,180 เหรียญสหรัฐต่อตัน เทียบกับไตรมาส 1/64 อยู่ที่ระดับ 1,145 เหรียญสหรัฐต่อตัน นอกจากนี้ เราคาดว่าบริษัทจะเห็นกำลังการผลิตส่วนเพิ่มจากโครงการ ORP (เอทิลีน (ethylene) 0.5 ล้านตันต่อปี (mta) และโพรพิลีน (propylene) 0.25 mta) ได้ภายในครึ่งปีแรก


โดยคาดด้วยว่ากำไรปี 65 จะอยู่ที่ 18.3 พันล้านบาท สูงขึ้น 20% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้กำลังการผลิตส่วนเพิ่มจาก ORP เต็มปี ประกอบกับ Market GRM ที่สูงขึ้นจากอุปสงค์ที่สูงขึ้นหลังวัคซีน COVID-19 มีการใช้ครอบคลุมทั่วโลก คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 78.00 บาท อิง 2021E PBV ที่1.21x (เท่ากับ +0.75SD บนค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง)

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


หญิงแม้น