จับตาธปท.ขึ้นดบ. เสี่ยงทำหุ้นเช่าซื้อกระอัก ส่วนแบงก์รับประโยชน์
โบรกฯ จับตากลุ่มเช่าซื้อ รับผลกระทบหาก ธปท.ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ทำใหต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้น จากโครงสร้างหนี้สินที่มีดอกเบี้ยลอยตัวบ คาดกระทบกำไรปี 66 ราว 1.0% (กรณีขึ้นดอกเบี้ย 0.25%) ส่วนกลุ่มธนาคารได้รับประโยชน์ จาก NIM ที่กว้างขึ้น
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส (ASPS) เผยผ่านบทวิเคราะห์ว่า หากกำหนดสมมติฐานให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ขณะที่กลุ่มเช่าซื้อ จะทำให้แนวโน้ม Cost of funds สูงขึ้น เพราะโครงสร้างหนี้สินที่มีอัตราดอกเบี้ยจ่ายบางส่วนเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว แต่อัตราดอกเบี้ยที่ปล่อยกู้เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ทั้งหมด ดังนั้นแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมใหม่ของกลุ่มเช่าซื้อสูงขึ้น และสมมติฐานอื่นไม่เปลี่ยนแปลง จะส่งผลกระทบต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 66 ของกลุ่มเช่าซื้อราว 1.0%
ฝ่ายวิจัยประเมินว่าแนวโน้มความต้องการใช้สินเชื่อของกลุ่มจะเติบโตต่อเนื่องในปี 65-66 จากแนวโน้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัว จึงเลือก TIDLOR (FV@B42) เป็น Top pick ของกลุ่มฯ
ขณะที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ภายใต้ทิศทาง Bond Yield ที่ปรับตัวขึ้นทุกอายุ ส่งผลบวกต่ออัตราดอกเบี้ยรับในส่วนของเงินลงทุน (แต่ลบกับมูลค่าเงินลงทุน ซึ่งส่วนใหญ่บันทึกผ่าน OCI) หากพิจารณาโครงสร้างรายได้ดอกเบี้ยรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปี 64 ประมาณ 6.7 แสนล้านบาท เฉลี่ยราว 90% มาจากการให้สินเชื่อ ตามด้วยดอกเบี้ยจากเงินลงทุนราว 7% และ 3% มาจาก Interbank (อัตราดอกเบี้ยอิงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย) ดังนั้นการปรับขึ้นของ Bond yield จึงมีผลบวกต่อรายได้ดอกเบี้ยรับกลุ่มฯ จำกัด
ธนาคารที่สัดส่วนรายได้ดอกเบี้ยรับจากเงินลงทุนสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ เป็นไปตามมูลค่าพอร์ตลงทุน ได้แก่ KBANK มีสัดส่วนรายได้ดอกเบี้ยจากเงินลงทุนราว 17% ของรายได้ดอกเบี้ยรับ (เงินลงทุนของเมืองไทยประกันชีวิต) ตามด้วย BBL ที่มีรายได้ดอกเบี้ยจากเงินลงทุนสัดส่วน 10% ของรายได้ดอกเบี้ยรับ และ KTB ราว 4% ของรายได้ดอกเบี้ยรับ (ธ.พ. อื่น มีรายได้ดอกเบี้ยจากเงินลงทุน 1% - 2% ของรายได้ดอกเบี้ยรับ) ประกอบกับ Bond Yield ถือเป็นสัญญาณชี้นำแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยในระยะถัดไป ภายใต้โครงสร้างสินเชื่อกลุ่มฯ ที่มีโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยลอยตัวประมาณ 77% ของสินเชื่อ (น้ำหนักมาจาก ธ.พ. ขนาดใหญ่)
ขณะที่ต้นทุนทางการเงินเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินลอยตัวราว 68% ของ Source of fund ทำให้ในกรณีที่ ธปท. ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ ธ.พ. มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย M – Rate (MLR,MRR และ MOR) ย่อมบวกต่อรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิของ ธ.พ. ใหญ่ ในช่วงแรก ก่อนที่ต้นทุนเงินฝากประจำจะปรับเพิ่มตาม ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยกลับสู่ระดับปกติ
นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยของกลุ่มฯ มีประเด็นที่ต้องติดตามจากการที่ ธปท. ลดเงินนำส่ง FIDF มาอยู่ที่ 0.23% จาก 0.46% ของเงินฝาก ไปจนถึงสิ้นปี 65 โดยสมมติฐาน NIM ปี 66 ของฝ่ายวิจัยอยู่บนสมมติฐานต้นทุนทางการเงิน FIDF กลับสู่ระดับปกติที่ 0.46% ของเงินฝาก และ ธ.พ. มีการทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ เพื่อชดเชยผลกระทบในอัตราเท่ากัน (ปี 2563 ที่เริ่มมีการลดเงินนำส่ง FIDF กลุ่ม ธ.พ. ขนาดใหญ่ปรับอัตราดอกเบี้ยกลุ่ม M – Rate ลง 0.4% เพื่อช่วยเหลือลูกค้า)
ภายใต้ Sensitivity Analysis จะพบว่าในกรณีที่ NIM เพิ่มขึ้น (ลดลง) 0.1% จากสมมติฐานฝ่ายวิจัย จะทำให้กำไรของ BBL, KTB เปลี่ยนแปลงมากสุดราว 11%, KBANK และ SCB ประมาณ 7% - 8% ตามด้วย KKP และ TISCO ราว 3% - 5% คงน้ำหนักเท่าตลาด เลือก ธ.พ. ใหญ่ ตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น และมีพัฒนาการด้าน Digital อย่าง KBANK(FV@B174), KTB([email protected]) และ SCB(FV@B140) ส่วน BBL(FV@B152) ราคาหุ้นซื้อขายที่ PBV ราว 0.5 เท่า มองว่าไม่แพง