บิ๊กดีล BBL ซื้อแบงก์อินโด พลิกกลยุทธ์ปักธงโตในภูมิภาค
ดีลซื้อธนาคาร “พีที เพอร์มาตา ทีบีเค” แบงก์อันดับ 12 ในอินโดนีเซีย ของทางธนาคารกรุงเทพ (BBL) ที่ประกาศทำสัญญาซื้อขายหุ้นไปเมื่อเย็นวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นการ “ขยับตัวครั้งใหญ่” ของแบงก์อันดับหนึ่งของเมืองไทย เพื่อรุกคืบทำธุรกิจในระดับภูมิภาคมากขึ้น
ควัก 9 หมื่นล้านฮุบแบงก์อินโด
แม้ก่อนหน้านี้ปรากฏข่าว “ซูมิโตโม มิตซุย ไฟแนนเชียล กรุ๊ป” (SMFG) สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น แสดงความสนใจเข้าร่วมประมูลดีลนี้ด้วยเช่นกัน ทว่าเป็นแบงก์กรุงเทพที่ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นเพอร์มาตา จากธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด และพีที แอสทร่า อินเตอร์เนชั่นแนล ทีบีเค (แอสทร่า) รวม 89.12%
โดยคาดว่าราคาซื้อขายครั้งนี้จะอยู่ที่ 1,498 รูเปียห์ต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่า 37,430,974 ล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 81,017 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ราคาซื้อขายจะถูกคำนวณอีกครั้ง โดยอ้างอิงที่อัตรา 1.77 เท่าของมูลค่าตามบัญชีของเพอร์มาตา และดีลนี้จะสำเร็จได้ เมื่อได้รับการอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจการเงินของอินโดนีเซีย (Otoritas Jasa Keuangan) รวมถึงการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของธนาคารกรุงเทพก่อน
สเต็ปต่อไปคือ BBL จะเสนอซื้อหุ้นที่เหลือจากผู้ถือหุ้นรายย่อยอีก 10.88% เพื่อเป็นผู้ถือหุ้น 100% ซึ่งคาดว่าจะใช้เม็ดเงินทั้งหมดราว 9.09 หมื่นล้านบาท ถือเป็นดีลซื้อกิจการของธนาคารพาณิชย์ไทยที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
แบงก์อินโดฯ โอกาสทำกำไรสูง
“ชาติศิริ โสภณพนิช” กรรมการผู้จัดการใหญ่ BBL กล่าวว่า ธุรกิจธนาคารในอินโดนีเซียมีการเติบโตที่น่าสนใจ มีอัตราผลกำไรที่ดี ซึ่งเพอร์มาตาจะเป็นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง ช่วยเสริมเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของแบงก์กรุงเทพ ด้วยช่องทางการให้บริการที่กว้างขวาง ความโดดเด่นของฐานเงินฝากและชื่อเสียงของธนาคาร ตลอดจนความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง
ยันไม่ต้องเพิ่มทุน BBL
ทั้งนี้ แม้บรรดานักลงทุนและนักวิเคราะห์มองว่า ดีลนี้ราคาค่อนข้างแพง จนมีการเทขายหุ้น BBL ออกมาจนราคาหุ้นร่วงหนัก แต่ “เดชา ตุลานันท์” ประธานกรรมการบริหาร BBL ยืนยันว่า ดีลนี้ถือว่าไม่แพงเกินไป และธนาคารมีเงินที่เพียงพอซื้อกิจการครั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน โดยทีมบริหารและบอร์ดยังเป็นชุดเดิม แบงก์กรุงเทพจะเข้าไปนั่งเก้าอี้ประธานบริหารเท่านั้น
“ชาญศักดิ์ เฟื่องฟู” กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ BBL กล่าวว่า คาดว่าภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 กระบวนการซื้อกิจการจะแล้วเสร็จ ซึ่งจะทำให้ BBL มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 10% มาอยู่ที่ 3.3 ล้านล้านบาท
พลิกกลยุทธ์โตจากภายนอก
“ชาญศักดิ์” กล่าวว่า การซื้อกิจการครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวย่างสำคัญ สำหรับการเติบโตแบบ inorganic growth โดย BBL มีกลยุทธ์ที่จะขยายธุรกิจในต่างประเทศและเชื่อมโยงไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น ขณะที่ลูกค้าของเพอร์มาตาประมาณ 42% เป็นรายใหญ่ ใกล้เคียงกับของแบงก์กรุงเทพที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ราว 40% ซึ่งจะช่วยเสริมกันและกัน และใช้ประโยชน์จากเครือข่ายที่มีอยู่ในการขยายการลงทุน ส่วนลูกค้าที่เหลือจะเป็นเอสเอ็มอีและรายย่อย และจะเป็นฐานธุรกิจสำคัญ คาดว่าจะทำให้สัดส่วนสินเชื่อต่างประเทศของ BBL เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 17%
“ตลาดอินโดนีเซียถือว่าเติบโตรวดเร็วที่สุดในภูมิภาค โดยเพอร์มาตามีฐานลูกค้าอยู่ 3.5 ล้านคน จะได้รับประโยชน์จากเครือข่ายสาขาของธนาคารกรุงเทพในอาเซียน และสามารถช่วยลูกค้าของเพอร์มาตาขยายธุรกิจในตลาดอาเซียน รวมถึงไทย ส่วนลูกค้า BBL ก็สามารถใช้เครือข่ายของเพอร์มาตาที่มีกว่า 332 สาขา และเอทีเอ็ม 1,000 เครื่อง เสริมจุดแข็งของทั้งสองธนาคารให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง”
“ไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์” รองผู้จัดการใหญ่ BBL กล่าวว่า อินโดนีเซียมีประชากรกว่า 276 ล้านคน ใหญ่กว่าประเทศไทยหลายเท่า ขณะที่อัตราการเข้าถึงบริการธนาคารถือว่ายังน้อยอยู่ที่ 36-39% เทียบกับประเทศไทยอยู่ที่เกือบ 100% ทำให้ตลาดอินโดนีเซียอยู่ในช่วงการเติบโต รวมทั้งส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ของไทยก็ต่ำกว่าอินโดนีเซีย โดยไทยอยู่ที่ 2.4% ขณะที่อินโดนีเซียสูงกว่า 3%
“หากดูการเติบโตของ BBL ในภูมิภาคธนาคารอินโดนีเซียถือเป็นธนาคารที่สร้างรายได้ติด 1 ใน 3 ของสาขาต่างประเทศ ถือเป็นโอกาสที่จะต่อยอดธุรกิจและการเติบโตจากการซื้อกิจการครั้งนี้”
เทียบสถานะแบงก์ไทย-อินโดฯ
ขณะที่ “นริศ สถาผลเดชา” ผู้บริหาร TMB Analytics ให้มุมมองว่า หากเปรียบเทียบระบบธนาคารพาณิชย์ของไทยกับอินโดนีเซียจะเห็นได้ว่า ระบบแบงก์ของอินโดฯมีโอกาสขยายได้อีกมาก และน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น NIM ที่สูงถึง 6% หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ที่ยังต่ำกว่าของไทย รวมทั้งผลตอบแทนผู้ถือหุ้นก็สูงกว่าของแบงก์ไทย
“ประชากรอินโดฯมากกว่าไทยถึง 3.5 เท่า ธุรกิจแบงก์ของอินโดฯยังมีโอกาสให้ขยายฐานได้อีกมาก ขณะที่ตลาดไทยค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว การแข่งขันก็สูง ต้นทุนการกำกับดูแลก็สูงมาก ทำให้ขยับตัวยาก ดังนั้นเรื่องนี้เป็นสิ่งที่แบงก์ทั้งระบบ รวมทั้งผู้กำกับนโยบาย อยากเห็นแบงก์ไทยขยายไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น” นายนริศกล่าว
“บิ๊กดีล” ครั้งนี้จะต่อยอดและเปลี่ยนเกมของแบงก์อันดับหนึ่งของเมืองไทยได้แค่ไหน คงต้องติดตามกันต่อไป
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก