สงครามแร่หายาก สนามรบใหม่ของมหาอำนาจโลก
By ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์
ข้อตกลงพักรบทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนในต้นปี 2568 อาจทำให้หลายฝ่ายโล่งใจไปชั่วขณะ แต่หากมองลึกลงไปในโครงสร้างของความขัดแย้งครั้งนี้ จะพบว่านี่ไม่ใช่การยุติสงคราม
แต่เป็นการซื้อเวลาเพื่อเตรียมพร้อมสู่การแข่งขันที่ยาวนานและรุนแรงกว่า โดยเฉพาะในสนามรบใหม่ที่จะกำหนดอนาคตของระเบียบโลกในศตวรรษที่ 21 นั่นคือ “สงครามแร่หายาก”
การพักรบครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะทั้งสองฝ่ายต่างมีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน สหรัฐ แม้จะเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยี แต่รายงาน Mineral Commodity Summaries 2025 ของรัฐบาลสหรัฐชี้ว่าต้องพึ่งพาการนำเข้า 100% ในแร่ธาตุสำคัญถึง 15 ชนิด และมากกว่า 50% อีก 28 ชนิด
โดยจีนเป็นแหล่งจัดหาหลัก เมื่อจีนประกาศห้ามส่งออกแกลเลียม เจอร์เมเนียม และแอนติโมนีในธันวาคม 2567 อุตสาหกรรมกลาโหมและเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ก็สะเทือนทันที

ขณะที่ในฝั่งจีน แม้มีความได้เปรียบในด้านแร่ธาตุ แต่กำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจภายในที่รุนแรง ภาคอสังหาริมทรัพย์ล่มสลาย การว่างงานของเยาวชนสูงถึง 20% และหนี้สาธารณะพุ่งสูง จีนต้องการตลาดส่งออกและการลงทุนจากตะวันตกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
เมื่อมองระยะยาว จีนมีความได้เปรียบเชิงโครงสร้างที่ยากจะหักล้างได้ในระยะสั้น จีนไม่ได้เพียงควบคุมการผลิตแร่หายาก 60-80% ของโลก แต่ที่สำคัญกว่าคือ ครอบงำเทคโนโลยีการแปรรูปมากกว่า 90% ของโลก ซึ่งเป็นจุดที่มีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าการขุดหลายเท่า
ตัวอย่างเช่น ออสเตรเลียมีแร่หายากมาก แต่ก็ยังต้องส่งไปแปรรูปที่จีนเพราะขาดเทคโนโลยีและต้นทุนสูงกว่า 3-5 เท่า
ความได้เปรียบนี้มาจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปี ตั้งแต่ยุคเติ้ง เสี่ยวผิงที่กล่าวว่า “ตะวันออกกลางมีน้ำมัน จีนมีแร่หายาก” นอกจากนี้ จีนยังมี “ความอดทน” ทางยุทธศาสตร์และตลาดภายในที่ใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน
แร่ธาตุหายาก (Critical Minerals) เป็น “วิตามิน” ของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ใช้ในปริมาณเล็กน้อยแต่ขาดไม่ได้ แม่เหล็กแรงสูงที่ทำจากนีโอดิเมียมและดิสโพรเซียมใช้เพียง 1-2 กิโลกรัมต่อมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า แต่หากไม่มีจะทำให้มอเตอร์หนักขึ้น 3-5 เท่า แกลเลียมและเจอร์เมเนียมใช้ในเซมิคอนดักเตอร์ความเร็วสูงและระบบเรดาร์ทหาร กราไฟต์ใช้ในแบตเตอรี่ถึง 50-100 กิโลกรัมต่อคัน
ความพิเศษของแร่เหล่านี้ คือ ไม่มีทางเลือกทดแทนที่เทียบเท่าในระยะสั้น การพัฒนาเหมืองใหม่ใช้เวลา 7-15 ปี และการกระจุกตัวของการผลิตในไม่กี่ประเทศทำให้ผู้ผลิตมีอำนาจต่อรองสูงมาก
ด้วยความสำคัญของแร่ธาตุหายากนี้ ทำให้ผู้เขียนมองว่า โลกกำลังเข้าสู่ “สงครามเย็น 2.0” ที่มีแนวรบหลักคือเทคโนโลยีและแร่หายาก โดยในระยะสั้น การพักรบจะยังคงอยู่แต่เปราะบาง ทั้งสองฝ่าย (สหรัฐและจีน) จะใช้เวลานี้เร่งสร้างห่วงโซ่อุปทานของตนเอง
โดยสหรัฐฯ จะเร่งเปิดเหมืองใหม่และลงทุนในพันธมิตร ขณะที่จีนจะตอบโต้ด้วยการเพิ่มการลงทุนในกลุ่มประเทศ One Belt One Road
ขณะที่ในระยะกลางและยาว โลกจะค่อยๆ แบ่งเป็น “สองระบบเศรษฐกิจ” ที่แยกจากกันชัดเจน อันได้แก่ ระบบ “ประชาธิปไตย-ตะวันตก” นำโดยสหรัฐ สหภาพยุโรป และพันธมิตร กับระบบ “เผด็จการ-ตะวันออก” นำโดยจีน รัสเซีย และอิหร่าน
ขณะที่ประเทศกลุ่มที่สาม อันได้แก่ประเทศกำลังพัฒนาที่เข้าได้ทั้งสองฝ่าย เช่น อาเซียน จะถูกบีบให้เลือกข้างหรือพยายามเล่นสองฝั่ง แต่จะได้รับแรงกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งต้นทุนทางเศรษฐกิจจะสูงขึ้นสำหรับทุกฝ่าย การรีไซเคิลแร่ธาตุ (เช่น การนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เก่ามาแยกชิ้นส่วนเพื่อนำแร่ธาตุหายากกลับมาใช้) จะกลายเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ และเทคโนโลยีทางเลือกจะพัฒนาขึ้น
ในส่วนของไทย เราอยู่ในตำแหน่งที่ละเอียดอ่อนแต่มีโอกาส ในฐานะประเทศขนาดกลางที่มีความสัมพันธ์ดีกับทั้งสหรัฐและจีน ไทยจึงไม่ควรเลือกข้าง แต่ควรใช้กลยุทธ์ “สมดุล” เหมือนสิงคโปร์และเวียดนาม
ในด้านแร่หายาก ไทยควรสำรวจและประเมินทรัพยากรอย่างเป็นระบบ พัฒนากฎหมายและกรอบธรรมาภิบาล โดยปรับปรุงพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ให้ทันสมัย มีมาตรฐานสิ่งแวดล้อมเข้มงวด กลไกการมีส่วนร่วมของชุมชน และการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เป็นธรรม
ในส่วนของประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง การพักรบส่งผลต่อ (1) ภาคยานยนต์ไฟฟ้าได้ประโยชน์ในระยะสั้นจากต้นทุนที่ลดลง และ (2) ภาคอิเล็กทรอนิกส์ได้ประโยชน์จากกระแส “China Plus One”
ขณะที่ห่วงโซ่อุปทานโลกกำลังเปลี่ยนจาก “efficiency-driven” เป็น “resilience-driven” บริษัทยินดีจ่ายต้นทุนสูงขึ้น 10-20% เพื่อมี supplier หลายรายและอยู่ในประเทศที่มีความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ต่ำ
ดังนั้น ไทยควรใช้โอกาสนี้ยกระดับเป็น “Regional Hub” สำหรับอุตสาหกรรมสำคัญที่มีความได้เปรียบ แต่ต้องระวังอย่าให้กลายเป็นเพียง “transshipment point” ที่สินค้าจีนผ่านมาเปลี่ยนฉลากเพื่อหลบภาษี
โดยข้อมูลส่งออกไทยในเดือนล่าสุด (ก.ย.) ที่โตถึง 19% นั้น เป็นผลจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ถึงกว่า 8% (Contribution to growth) และเมื่อพิจารณาไส้ในพบว่าเป็นการนำเข้าจากจีนและไต้หวัน (โต 39% และ 110% ตามลำดับ) เป็นหลัก โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขั้นกลาง เช่น แผงวงจรไฟฟ้า (PCB) เป็นต้น
โลกกำลังเข้าสู่ยุคที่แร่หายากมีค่ามากกว่าน้ำมัน ประเทศที่เตรียมพร้อมและวางตำแหน่งอย่างชาญฉลาดจะเป็นผู้ได้เปรียบในระเบียบโลกใหม่
(บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วยงานที่สังกัดอยู่)
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1206122