ห้องเม่าปีกเหล็ก

จุดจบนํ้ามันแพง จาก Pearl Harbor สู่ Tesla

โดย StockllWinnews
เผยแพร่ :
63 views

จุดจบนํ้ามันแพง จาก Pearl Harbor สู่ Tesla

 

หนึ่งในการค้นพบที่สำคัญที่สุดในโลกของมนุษยชาติ คือการค้นพบ “นํ้ามัน” นํ้ามันถูกค้นพบขึ้นมาหลายพันปีที่แล้วแต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรมอย่างเช่นทุกวันนี้

 

ในอดีตผู้คนใช้นํ้ามันในการทาหลังคาบ้านเพื่อกันฝน,ทาขวานเพื่อกันสนิมหรือใช้เพื่อจุดตะเกียงเท่านั้น ดังนั้นการที่คนจะทำสงครามหรือแก่งแย่งกันเพื่อให้ได้นํ้ามันคงเป็นเรื่องที่น่าตลกในยุคสมัยนั้น คนจะทำสงครามกันเพื่อแย่ง ทาส, แผ่นดิน, ทอง หรือแม้แต่พริกไทย แต่ไม่ใช่นํ้ามันแน่ๆ

 

มนุษย์ไม่เคยใช้นํ้ามันจริงๆจังๆจนมากถึงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือ Industrial Revolution ในช่วงศตวรรษที่ 18 เริ่มมีคนนำนํ้ามันมากลั่นเป็นสารต่างๆเช่น เคโรซีน พาราฟิน แนฟตาและนํ้ามันหล่อลื่นอื่นๆ ธุรกิจขุดเจาะและกลั่นนํ้ามันเริ่มกระจายไปทั่วโลกและเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

 

จุดสำคัญจริงๆที่ทำให้นํ้ามันมีความสำคัญคือการคิดค้นเครื่องยนต์ (Internal Combustion Engine) ซึ่งใช้เชื้อเพลิงหลักคือนํ้ามัน หลังจากการคิดค้นเครื่องยนต์ นํ้ามันที่เคยมีใช้กันอย่างล้นเหลือก็ถูกใช้จนหมดอย่างรวดเร็ว เกิดกระแสรวยจากการขุดนํ้ามันไปทั่วอเมริกาทำให้คนเริ่มค้นหาบ่อนํ้ามันและตั้งบริษัทขุดเจาะกันอย่างจริงจัง

 

หนึ่งในคนที่รํ่ารวยมาจากนํ้ามันในยุคนั้นคือ John D. Rockfeller ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยควบคุมกำลังการกลั่นนํ้ามันในสหรัฐฯถึง 90% ปริมาณการผลิตนํ้ามันที่  2,000 บาร์เรลในปี 1859 เพิ่มสูงถึง 126 ล้านบาร์เรลในปี 1906

 

ในปี 1914 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้ทรงอำนาจและผู้นำประเทศทั้งหลายเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของนํ้ามันมากขึ้นไปอีก จากเรือที่เคยใช้หัวจักรไอนํ้าเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ที่ใช้นํ้ามันเป็นเชื้อเพลิง รวมไปถึงรถถัง และเครื่องบิน ถ้าไม่มีนํ้ามันเครื่องจักรสงครามเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็กดีๆนี่เอง

 

หลังจากนั้นไม่นานถ่านหินที่เคยเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดในโลก

ก็สูญเสียสถานะความสำคัญให้กับนํ้ามันในช่วงปีศตวรรษที่ 20

จากที่ถ่านหินเคยมีสัดส่วนถึง 50% ของการใช้พลังงานในช่วงศตวรรษที่ 19

ลดลงมาเหลือแค่ 20% ส่วนนํ้ามันเป็นสัดส่วนถึง 60% ในศตวรรษที่ 20

 

สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นอีกครั้งที่นํ้ามันกลายเป็นส่วนสำคัญที่จะชี้เป็นชี้ตายการแพ้หรือชนะของสงคราม ญี่ปุ่นถูกควํ่าบาตรการซื้อขายนํ้ามันกับสหรัฐฯในสมัยประธานาธิปดี Roosevelt หากไม่มีนํ้ามันกองทัพญี่ปุ่นจะอ่อนแอลงไม่สามารถทำสงครามยืดเยื้อได้ ญี่ปุ่นจึงตัดสินใจโจมตีสหรัฐด้วยยุทธวิธี “คามิคาเซ่” เกิดเป็นเหตุการณ์ Pearl Harbor

 

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1960 OPEC ได้ถือกำเนิดขึ้นจากการรวมตัวกันของประเทศผู้ส่งออกนํ้ามันดิบ โดยในตอนแรกมี 5 ประเทศคือ Venezuala, Iran, Iraq, Saudi Arabia และ Kuwait ปัจจุบัน OPEC มีสมาชิก 14 ประเทศ เป็นเจ้าของ 44% ของการผลิตนํ้ามันของโลก และ 70% ของแหล่งนํ้ามันดิบสำรองของโลก

 

ทำไมต้องรวมกันเป็น OPEC? จุดประสงค์บอกว่ารวมกันเพื่อเจรจากันในกลุ่มและสร้างเสถียรภาพให้กับราคานํ้ามันและให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนที่ดีต่อประเทศในกลุ่มสมาชิก พูดเป็นภาษาชาวบ้านคือการปรึกษากันเพื่อผลิตนํ้ามันออกมาในอัตราส่วนที่เหมาะสม ให้ได้ราคาดีๆ เพราะถ้ามีประเทศไหนประเทศหนึ่งที่มีนํ้ามันบ้าคลั่งผลิตออกมาเยอะๆในเวลาหนึ่งก็จะทำให้นํ้ามันราคาลงและไม่เป็นผลดีต่อผู้ค้านํ้ามันทั้งหมด

 

ดังนั้นฮั้วกันไว้ก็จะเป็นการดีต่อทุกฝ่ายราคานํ้ามันจะได้สูงๆขึ้นไปเรื่อยๆ ดีกับทุกประเทศ (ที่มีนํ้ามันนะ)

 

แต่สุดท้ายแล้ว OPEC ก็ทะเลาะกันเองเช่นตอนสงคราม Iraq บุก Kuwait ในปี 1990

ส่งราคานํ้ามันจาก $21 ดอลลาร์/บาร์เรล ไปสูงถึง $48 ดอลลาร์/บาร์เรล

ราคานํ้ามันที่ขึ้นขนาดนี้เดือดร้อนถึงใครมากสุด? เดือนร้อนถึงพี่สหรัฐฯนี่เอง

 

เพราะแม้สหรัฐฯจะเป็นประเทศที่ผลิตนํ้ามันได้มากแต่ก็เป็นประเทศที่บริโภคนํ้ามันมากเช่นกัน ในช่วงปี 1990-2000 กว่า 30% ของการใช้นํ้ามันของโลกอยู่ที่สหรัฐฯ ดังนั้นนํ้ามันจึงสำคัญมากๆ เราจะเห็นว่าสหรัฐฯชอบเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามประเทศตะวันออกกลางเสมอ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องนํ้ามันนี่แหละครับ

 

ตอนที่ราคานํ้ามันขึ้นสูงๆอีกครั้งก็ตอนเศรษฐกิจจีนโตแรงๆ คนเริ่มกลัวนํ้ามันหมดโลกจากการลดลงของ Reserve ตะวันออกกลางก็ยังทะเลาะกันไม่เลิก เลยส่งนํ้ามันให้ขึ้นไปจุดสูงสุดที่ $147 ในปี 2008 หลังจากนั้นเกิด Sub Prime Crisis ก็ลดลงมา พอเศรษฐกิจเริ่มฟื้นราคานํ้ามันก็กลับมาขึ้นใหม่อีกครั้งแต่รอบนี้สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป

 

 

เมื่อสหรัฐฯสามารถคิดค้นวิธีใหม่ที่จะกลั่นนํ้ามันออกมาจากหิน(Shale Oil)ได้ ทำให้ความจำเป็นที่จะต้องพึ่งนํ้ามันจากตะวันออกกลางลดลง แต่ต้นทุนในการผลิตยังถือว่าสูงมากที่ 75-80 ดอลลาร์/บาร์เรล ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่ราคานํ้ามันสูงสหรัฐฯสามารถกลั่นนํ้ามันมาใช้ด้วยวิธีนี้ได้ ซึ่งสุดท้ายก็ทำจริง ในช่วงปี 2011-2013 กำลังการผลิตนํ้ามันของสหรัฐเพิ่มขึ้นถึง 50%

 

ฝั่ง OPEC เองก็ไม่ยอมลดกำลังการผลิตด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากสูญเสีย Market share ในการขายนํ้ามันให้กับสหรัฐฯ และๆ OPEC ก็รู้ว่าถ้านํ้ามันราคาถูก พวกที่ผลิตนํ้ามันจาก Shale Oil (หลักๆก็มาจากสหรัฐฯเนี่ยแหละ) จะต้องเจ๊งแน่ๆเพราะต้นทุนสูงมาก ดังนั้น Move นี้ของ OPEC คือการพยายามฆ่า Shale Oil ให้ตายด้วยการยอมปล่อยให้ราคานํ้ามันถูกลงซักระยะนึง พอตายหมดแล้วค่อยขึ้นราคาใหม่ ชีวิตมันจะง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?

 

คำตอบก็คือไม่น่าใช่ อย่างที่เรารู้กันว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงานเยอะมาก หนึ่งในนั้นคือการพัฒนาอย่างรวดเร็วของรถยนต์ไฟฟ้า

 

 

ประมาณ 45% ของนํ้ามันทั้งหมดในโลกถูกใช้ไปกับรถยนต์ และรถยนต์กำลังจะเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าแทนแล้ว เศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างจีนวางแผนที่จะเห็นการเติบโตในอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งหมดมาจากรถยนต์ไฟฟ้า อินเดียวางแผนที่จะขายแต่เฉพาะรถไฟฟ้าเท่านั้นภายในปี 2030 แม้แต่เยอรมันเองที่ผลิตรถยนต์ใช้นํ้ามันเยอะๆก็ยังวางแผนที่จะแบนรถยนต์นํ้ามันให้ได้ภายในปี 2030 เช่นกัน

 

ผู้เชี่ยวชาญได้ประเมินไว้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตจากจำนวน 1.2 ล้านคันเป็น 450 ล้านคันในปี 2035

IEA (International Energy Agency) มีการประมาณการไว้ว่าในอีก 25 ปีข้างหน้าหากเกิดการใช้งานรถไฟฟ้าในระดับนี้จริง

รวมถึงการเปลี่ยนแปลงระบบขนส่งสาธารณะไปใช้ระบบของ UBER หรือรถยนต์อัตโนมัติอย่าง Google และ Tesla ซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงขึ้น จะต้องทำให้ความต้องการนํ้ามันลดลงจากประมาณ 104 ล้านบาร์เรลต่อวันเหลืออยู่ที่ 87 ล้านบาร์เรล/วัน

 

นอกจากนั้นถ้าคนและอุตสาหกรรมเริ่มหันไปใช้พลังงานทดแทนอย่างแผง Solar ที่มีประสิทธิภาพสูงและราคาถูกลงเรื่อยๆ

หรือเทคโนโลยี Bio Fuel ที่ก็เริ่มมีการผลิตที่สูงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน

ด้วย 2 ปัจจัยนี้ IEA ได้ประมาณการต้องการจะยิ่งลดลงไปอีกเหลือแค่ 74 ล้านบาร์เรล/วัน

 

ความต้องการใช้นํ้ามันจะลดจาก 104 ล้านบาร์เรลเหลือแค่ 74 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลงประมาณ 28%

อย่างไรก็ตามประมาณการใช้นํ้ามันที่ IEA ประเมินไว้เป็นของปี 2040

ตอนนี้ราคานํ้ามันอยู่ที่ประมาณ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล

ผมคงไม่มีความรู้มากพอที่จะคำนวณได้ว่าราคาในอนาคตจะเป็นเท่าไหร่

แต่พอจะบอกได้ว่าบริษัทนํ้ามันใหญ่ๆคงต้องปรับตัวพอสมควร

และการที่ราคานํ้ามันจะขึ้นแรงๆแบบในปี 2008 นั้นคงมีโอกาสน้อยมาก

 

บทความของ Bloomberg ได้ให้ข้อมูลไว้ว่าสมัยที่โรงไฟฟ้าสหรัฐฯเปลี่ยนไปใช้แก๊สแทนถ่านหิน

ตอนนั้นทำให้บริษัทถ่านหินล้มละลายไปถึง 50 บริษัท รอบนี้จะล้มไปกี่บริษัทก็อยู่ที่ว่าจะปรับตัวกันมั้ย? และต้องปรับเร็วแค่ไหนไม่มีใครบอกได้

 

แต่สิ่งที่ทุกคนรู้ๆอยู่แล้วก็คือ บริษัทที่เป็นผู้นำรถไฟฟ้าอย่าง Tesla พัฒนาไปเร็วมากๆ

ถ้าบริษัทนํ้ามันจะปรับตัวก็คงต้องปรับให้เร็วกว่าพัฒนาการของ Tesla และ Elon Musk ล่ะมั้ง?

 

cr. buffettcode.com

 

 

 


StockllWinnews