ห้องเม่าปีกเหล็ก

จับตาเฟดกลับสู่เส้นทางการลดดอกเบี้ย

โดย dave
เผยแพร่ :
47 views

จับตาเฟดกลับสู่เส้นทางการลดดอกเบี้ย หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาตามคาด พร้อมเตรียม Buy on dip หากตลาดกังวลทรัมป์ขู่คว่ำบาตรรัสเซีย-จับมือ NATO ขึ้นภาษีจีน 50-100%

• ตลาดหุ้นโลก (ACWI) ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All time high) ต่อเนื่อง แม้อยู่ในช่วงเดือนกันยายนที่ก่อนหน้าตลาดมีความกังวล Seasonal low แรงหนุนสำคัญในสัปดาห์ที่แล้ว คือ การรายงานอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ออกมาตามที่ตลาดคาด ทั้ง PPI ที่ต่ำกว่าคาดและ CPI ที่เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ แม้จะมีการเร่งตัวขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือนก็ตาม ประกอบกับตัวเลขการจ้างงาน (Nonfarm) ที่ถูกปรับลดลงราว 9 แสนตำแหน่งในช่วงเดือนเมษายน 2024 ถึงมีนาคม 2025 ซึ่งสะท้อนความอ่อนแอของตลาดแรงงานที่มากกว่าที่ประเมินไว้เดิม โดยหลังจากเห็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายอย่างเงินเฟ้อที่ออกมาตามคาดนั้น ทำให้ตลาดมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าในการประชุม FOMC ในสัปดาห์นี้ เฟดจะกลับสู่เส้นทางการลดดอกเบี้ยอีกครั้ง นอกจากปัจจัยมหภาคแล้ว ตลาดยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากผลประกอบการหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ดีกว่าคาด ซึ่งส่งผลดีต่อหุ้นในห่วงโซ่อุปทาน AI ทั่วโลกให้ปรับตัวขึ้นตามไปด้วย

• ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทั้ง Dow Jones, S&P 500 และ Nasdaq Composite ขณะที่ Russell 2000 ปรับตัวขึ้นทำ New high เช่นกัน โดยดัชนี S&P 500 ขึ้นแตะ 6,600 จุดในช่วงเวลาการซื้อขายคืนวันศุกร์ แรงหนุนสำคัญจากหุ้นในกลุ่ม Technology จากผลประกอบการของ Oracle ที่รายงาน Remaining Performance Obligations (RPO) ที่ $455 พันล้าน เพิ่มขึ้น 359% YoY สะท้อนความต้องการใช้งานคลาวด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก AI Inferencing (การนำ AI ไปใช้งานจริง) ส่งผลให้บริษัทปรับเป้าครั้งใหญ่ โดยคาดว่ารายได้จาก Oracle Cloud จะอยู่ที่ $18 พันล้านในปีงบประมาณ 2026 (มิ.ย. 2025 - พ.ค. 2026) และจะเพิ่มขึ้นเป็น $144 พันล้านในปีงบประมาณ 2030 ความแข็งแกร่งของกลุ่มเทคโนโลยียังได้รับการสนับสนุนจาก TSMC ที่รายงานรายได้เดือนสิงหาคมที่ 335.77 พันล้านไต้หวันดอลลาร์ เติบโต 34% YoY ซึ่งคิดเป็น 69% ของ Guidance รายได้ใน 3Q25 ที่บริษัทได้ให้ไว้ และ Micron ที่ขึ้นทำ All time high ภายหลัง Citigroup ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น $175 รับกลุ่มชิปเมมโมรีที่คาดจะฟื้นตัวเด่น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยมหภาคที่มาเป็นแรงหนุนเพิ่มเติม จากเฟดที่จะลดดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า ซึ่งพาให้หุ้นกลุ่ม Cyclical ปรับตัวขึ้นนำโดย Financials ที่หุ้นธนาคารอย่าง JPMorgan, Bank of America, Citi Group, Goldman Sachs และ Morgan Stanley ขึ้นทำ All time high และกลุ่ม Utilities ที่ Constellation energy ปรับตัวขึ้นแรงตามความต้องการ AI ที่ต้องใช้พลังงานมากขึ้น

• ตลาดหุ้นนอกสหรัฐฯ ต่างก็ปรับตัวขึ้นได้ดี โดยเฉพาะเอเชียเหนืออย่างตลาดหุ้นญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ที่ขึ้นทำ All time high ทั้ง 3 ตลาด แรงหนุนสำคัญมาจากหุ้นในกลุ่ม AI supply chain ที่ปรับตัวขึ้น สำหรับญี่ปุ่นมีปัจจัยเฉพาะตัวเพิ่มเติมสองประเด็น (1) ปัจจัยการเมืองจากการที่นายกรัฐมนตรีอิชิบะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค LDP เปิดทางให้หัวหน้าพรรคคนใหม่ที่อาจจะเป็นซานาเอะ ทาคาอิจิ หรือชินจิโร โคอิซูมิ ซึ่งทั้งสองเห็นพ้องว่านโยบายการคลังควรมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ แต่อาจต่างกันที่นโยบายการเงิน โดยทาคาอิจิเน้นให้ BOJ คงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ขณะที่โคอิซุมิเน้นให้ BOJ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทีละน้อยหากเงินเฟ้อสูงเกินไป (2) GDP 2Q25 รอบ Final ถูกปรับเพิ่มจาก +1% QoQ เป็น +2.2% QoQ โดยหลักเป็นการปรับเพิ่มในส่วนของการบริโภคจาก +0.6% เป็น +1.6% สูงสุดในรอบ 3 ไตรมาส สอดคล้องกับการเติบโตของค่าจ้างที่ +2.5% เร่งตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 7 เดือน ด้านหุ้นเกาหลีใต้ปรับตัวขึ้นแรงจาก SK Hynix ที่ประกาศความสำเร็จเป็นบริษัทแรกของโลกที่พัฒนา HBM4 และพร้อมเดินสายการผลิตเพื่อป้อนตลาด AI และ Data Center ทั่วโลก ขณะที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นแรง ขณะที่ CSI 300 ได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่ม Semiconductors กลับมาพุ่งแรง และ HSCEI ได้แรงหนุนจากการที่ Alibaba และ Baidu เปิดตัว AI Model ใหม่ และการประกาศว่าได้เริ่มใช้ชิป AI ที่พัฒนาเองแทน Nvidia แล้ว แม้ยังมีสงครามราคากับคู่แข่ง Meituan และ JD ในธุรกิจส่งอาหารและส่งด่วนอยู่ก็ตาม

• ในสัปดาห์นี้ ปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางตลาดโลกในสัปดาห์นี้อยู่ที่การประชุม FOMC ซึ่งตลาดคาดว่าเฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน โดยตลาดให้น้ำหนักสูงถึง 90% ว่าจะลด 25 bps เหลือ 4.00-4.25% และมี 10% ที่คาดว่าจะลดถึง 50 bps ขณะเดียวกัน ตลาดจะจับตา Dot Plot ที่เคยส่งสัญญาณไว้ในการประชุมเดือนมิถุนายนว่าจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้งภายในปี 2026 ขณะที่ตลาดได้ pricing ไว้แล้วถึง 6 ครั้ง หาก Dot Plot รอบนี้ไม่ส่งสัญญาณผ่อนคลายเท่าที่ตลาดคาด อาจหนุนให้ USD Index และ 10Y UST รีบาวด์ขึ้น โดยเราประเมินว่า 10Y UST มีโอกาสแตะ 4.25% ซึ่งเราแนะนำให้ใช้จังหวะที่ Yield ปรับขึ้นในการทยอยลงทุน UGISFX-N นอกจากนี้เราแนะนำให้ติดตามการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่กรุงมาดริด ในช่วงวันที่ 14 – 17 กันยายน ระหว่าง Scott Bessent และ He Lifeng (รองนายกจีน) เพื่อหารือประเด็นการค้า เศรษฐกิจ ความมั่นคงแห่งชาติ และสถานะของ TikTok ที่จะครบกำหนด 17 กันยายนนี้ ปัจจัยสำคัญอื่นๆ ให้ติดตามการประชุม BOJ ที่คาดว่าจะคงดอกเบี้ยที่ 0.5% ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและผลกระทบจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ และการประชุม BOE ที่คาดว่าจะคงดอกเบี้ยเช่นกัน หลังจากเพิ่งลดไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่ต้องจับตาในสหรัฐฯ ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนสิงหาคมที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มทรงตัว ด้านเอเชีย ให้จับตาข้อมูลเศรษฐกิจจีนอย่างราคาบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรม การบริโภค และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และให้ระมัดระวังความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หลังทรัมป์ประกาศพร้อมออกมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซีย พร้อมเสนอให้ G7 ขึ้นภาษีน้ำมันที่จีน และอินเดีย ซื้อจากรัสเซีย และให้ NATO ขึ้นภาษีสินค้าจีน 50-100% โดยจะยกเลิกให้เมื่อสงครามรัสเซีย-ยูเครนสิ้นสุดลง เพื่อบีบให้รัสเซียยุติสงครามโดยเร็ว

• เราประเมินว่าตลาดหุ้นโลกจะเคลื่อนไหว Sideways down จากปัจจัยลบด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการรอผลการประชุม FOMC ในช่วงปลายสัปดาห์ และคงมุมมองตาม Monthly report ที่ว่าตลาดหุ้นโลกในเดือนกันยายนปีนี้จะไม่แย่ตามสถิติ จากการที่สหรัฐฯ มีนโยบายการคลัง การลดดอกเบี้ยของเฟด และผลประกอบการหุ้นเทคฯ ที่ออกมาดีกว่าคาดอย่างมาก โดยจากผลประกอบการของ Broadcom, Oracle รวมถึงรายได้รายเดือนของบริษัทเทคฯ ในไต้หวัน ต่างบ่งชี้ผลประกอบการใน 3Q25 ที่จะเริ่มรายงานช่วงกลางเดือนตุลาคมน่าจะออกมามีโมเมนตัมที่ดีต่อเนื่อง เราจึงแนะนำทยอยลงทุน K-GSELECTU-A(A) สำหรับ Core Portfolio และ KKP TECH-UH ที่เน้นกลุ่ม Technology และ Communication Services สำหรับ Satellite Portfolio 12 เดือน เพื่อเตรียมรับ High seasonality ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วง 4Q25 ที่จะมีแรงหนุนจากการลดดอกเบี้ยของเฟด และผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มเทคฯ สำหรับกองทุน ONE-FFI ที่เราวางไว้เป็น Satellite Portfolio ระยะสั้น 3-6 เดือน เพื่อเก็งกำไรจากค่าบาทนั้น จากปัจจุบันที่ค่าเงินบาทหลุดกรอบสะสมที่ 32-33.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ เราจึงแนะนำให้ Wait & see และให้ตัดขาดทุนเมื่อค่าบาทแข็งค่าต่ำกว่า 31.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ

 

 

𝐈𝐦𝐩𝐥𝐢𝐜𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧

 

𝐁𝐮𝐲 𝐥𝐢𝐬𝐭𝐬

𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)

• 𝐊𝐊𝐏 𝐓𝐄𝐂𝐇-𝐔𝐇: กองทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก iShares Expanded Tech หรือ IGM (ETF) เน้นลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ในกลุ่ม Technology และ Communication Services โดย IGM (ETF) ปรับตัวขึ้น 2.44% ในสัปดาห์ที่แล้ว แรงหนุนมาจากการปรับตัวขึ้นของ Oracle (+26%) ที่รายงานผลประกอบการดีกว่าคาด สะท้อนความต้องการ AI ที่มีแนวโน้มมากขึ้นกว่าที่ประเมินไว้อย่างมากโดยเฉพาะ Inferencing รวมถึงรายได้เดือนสิงหาคมของ TSMC ที่เติบโต 34% ทำให้หุ้นในกลุ่มต่างปรับตัวขึ้นตามกันไปด้วยทั้ง Nvidia +6.5%, Microsoft +3%, Broadcom +7.5%, Google +2.6%, Palantir +12%, AMD +5% และ Micron +20%

• สำหรับกลุ่มเทคฯ สหรัฐฯ สัปดาห์นี้ติดตามความคืบหน้าที่ OpenAI และ Nvidia เตรียมประกาศลงทุน Data center ที่อังกฤษ และผลการประชุม FOMC โดยเราคงคำแนะนำซื้อ โดยเฉพาะเมื่อ IGM (ETF) มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

• 𝐊-𝐉𝐏-𝐀(𝐃): กองทุนหุ้นญี่ปุ่นที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Lazard Japanese Strategic มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มการเงินราว 20% โดยหุ้นญี่ปุ่นกลับมาปรับตัวขึ้น Topix +1.8% ขึ้นทำ All time high หลังนายกฯ อิชิบะประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรค LDP ซึ่งตลาดมองว่า Candidate ไม่ว่าจะเป็นทากาอิจิ หรือโคอิซุมิ ต่างมีแนวคิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Dovish) มากกว่าอิชิบะ อีกทั้ง GDP 2Q25 รอบ Final ยังถูกปรับขึ้นจาก 1% เป็น 2.2% อีกด้วย นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนสำคัญจากหุ้นในกลุ่ม Semiconductors ที่ขึ้นแรงตามหุ้นสหรัฐฯ

• สำหรับญี่ปุ่น สัปดาห์นี้ให้ติดตามการประชุม BOJ และการส่งออก โดยเรายังคงคำแนะนำซื้อเมื่อดัชนี Topix มีการย่อตัวลง โดยมีกรอบการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 3 - 6 เดือน)

• 𝐎𝐍𝐄-𝐅𝐅𝐈: กองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นโดยปัจจุบันมี Port Duration ที่ 4 เดือน 24 วัน และมี Yield to Maturity ที่ 4.08% ต่อปี กองทุนไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedged) ซึ่งเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เรามองว่าค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปตรงข้ามกับปัจจัยพื้นฐาน

• เราจึงแนะนำให้ Wait & see หลังค่าเงินบาทหลุดกรอบสะสมที่ 32-33.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ และให้ตัดขาดทุนเมื่อค่าบาทแข็งค่าต่ำกว่า 31.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ

 

𝐇𝐨𝐥𝐝𝐢𝐧𝐠 𝐥𝐢𝐬𝐭𝐬

𝐒𝐚𝐭𝐞𝐥𝐥𝐢𝐭𝐞 𝐩𝐨𝐫𝐭 (สำหรับช่วง 6 - 12 เดือน)

• 𝐓𝐔𝐒𝐅𝐈𝐍-𝐀: กองทุนหุ้นกลุ่มการเงินในสหรัฐฯ ลงทุนผ่านกองทุนหลัก XLF (ETF) โดยหุ้นในกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทำ All time high ภายหลังอัตราเงินเฟ้อออกมาตามคาด หนุนเฟดลดดอกเบี้ย อีกทั้งเหล่าผู้บริหารของธนาคารใหญ่ต่างมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ โดยรายได้จากตลาดทุนและค่าธรรมเนียม Investment Banking มีแนวโน้มที่ดี ดีล M&A กลับมาคึกคัก ขณะที่การปล่อยกู้และคุณภาพลูกหนี้ยังแข็งแกร่ง ไม่พบความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้

• เราแนะนำ Let profit run และติดตามผลการประชุม FOMC และ Retail sales

 

 

ที่มา..  KSecurities


dave