ห้องเม่าปีกเหล็ก

เจาะลึก BBIK สร้างการเติบโตผ่านการซื้อกิจการ

โดย โจ๊กเกอร์
เผยแพร่ :
343 views

เจาะลึก BBIK สร้างการเติบโตผ่านการซื้อกิจการ

กับการก้าวติดอันดับหุ้นใน SET100 ภายใน 3 ปี

.

Wealthy Thai จะพานักลงทุนไปไขความลับการเติบโตในอนาคตจากแผนธุรกิจที่ BBIK ได้วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสของการเติบโตอย่างมากจากธุรกิจ Consulting ด้วยกลยุทธ์ที่จะเจาะตลาดสหรัฐ และกลุ่มประเทศในยุโรป รวมถึงการขยายธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมกับพันธมิตรทั้งในไทยและต่างประเทศ อีกทั้งการเติบโตในรูปแบบของ Inorganic ภายใต้แผนการซื้อกิจการเพื่อต่อยอด ซึ่งทั้งหมดล้วนจะเป็นคำตอบให้เห็นได้ว่าทำไมราคาหุ้น BBIK ปรับเพิ่มขึ้นไปหลายเท่าตัวนับจากวันที่ไอพีโอ

.

บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK บริษัท Tech Consulting หนึ่งเดียวของตลาดหุ้นไทยที่ได้รับกระแสการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่วันที่เข้าตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ เมื่อวันแรกที่ 16 ก.ย.64 ด้วยราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอที่ 18 บาทต่อหุ้น ซึ่งล่าสุดราคาพุ่งเกิน 100 บาทภายใน 1 ปี เท่ากับว่า ราคาหุ้นขึ้นมาเกิน 450 %

.

จนกระทั่งในวันที่เกือบจะครบรอบ 1 ปี ของการเป็น listed company ราคาหุ้นได้สะท้อนถึงกระแสการตอบรับที่ดีจากเหล่านักลงทุนบนความคาดหวังที่ BBIK กำลังมีโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอย่างมากมายในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นแผนการเติบโตของรายได้ในระดับ 2,000 ล้านบาท และโอกาสในการทะยานเข้าไปสู่ 100 บริษัทอันดับแรกในตลาดหุ้นไทย

ในครั้งนี้ Wealthy Thai จะพานักลงทุนไปไขความลับโอกาสในการเติบโตของ BBIK ผ่านการฉายภาพของ คุณพชร อารยะการกุล ซีอีโอผู้ปลุกปั้น BBIK มากับมือ ไม่ว่าจะเป็นแผนการเติบโตของรายได้ที่เฉลี่ยโตมาแล้วกว่า 70% ในช่วงย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมา รวมถึงกลยุทธ์ในการเจาะกลุ่มลูกค้าในแถบประเทศสหรัฐ และยุโรป

.

นอกจากนี้ BBIK ยังมีแผนการใหญ่ในอนาคตที่วางไว้ทั้งในเรื่องของรายได้ที่จะทะยานสู่ระดับ 2,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 รวมถึงโอกาสในการเพิ่มฐานบริษัทให้ใหญ่ขึ้นจากเดิม และมีชื่อติดอันดับ 1 ใน 100 ของบริษัทตลาดหุ้นไทย หรือได้รับการเข้าคำนวณ SET100

.

โดย คุณพชร เล่าว่า ในอนาคต BBIK มีแผนที่จะขยายฐานทุนของบริษัทให้มุ่งสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ SET หลังจากที่ได้เข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ไม่เพียงแค่นั้นทาง BBIK คาดหวังว่าจะติดอันดับหุ้นใน SET100 ให้ได้ภายในปี 2568 ด้วยการเพิ่มฐานทุนจดทะเบียนของบริษัท ภายใต้กลยุทธ์เครื่องมือทางการเงินที่เอื้ออำนวยหลายด้านไม่ว่าจะเป็นการจ่ายปันผลเป็นหุ้น หรือการเพิ่มทุนเพื่อโอกาสในการต่อยอดการเติบโต

.

ขณะเดียวกันธุรกิจจะเติบโตไม่ได้ หากไม่มีวิชั่น และแผนงานธุรกิจจากฝั่งบริหาร โดย พชร อารยะการกุล เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทได้ จัดทัพธุรกิจใหม่แบ่งงานออกเป็น 4 กลุ่มงาน ได้แก่

กลุ่มธุรกิจ Consulting Service

กลุ่มธุรกิจ ด้าน Digital Platforms

กลุ่มธุรกิจ Joint Ventures

กลุ่ม International Business ซึ่งในแต่ละธุรกิจนั้นจะมีความสำคัญที่ไม่แพ้กัน

.

ด้วยการใช้จุดแข็งในธุรกิจหลักอย่าง Consulting Service ต่อยอดขยายโอกาสในการเติบโตในหลายด้าน เช่น กลุ่ม Digital Platforms ที่จะต่อยอดรับงานจากลูกค้าที่เดิมก่อนหน้านี้เคยใช้บริการของ BBIK ในด้านของที่ปรึกษา ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Joint Ventures ก็เช่นเดียวกันจะช่วยต่อยอดจากโอกาสในการรับงานอยู่แล้วให้ปรับรูปแบบมาเป็น Joint Ventures และสุดท้ายคือกลุ่ม International Business คือทุกกลุ่มธุรกิจที่มีอยู่นั้นสามารถขยายออกไปยังต่างประเทศได้ทั้งหมด

.

นอกจากนี้ BBIK ยังได้วางแผนการเติบโตในรูปแบบของ Inorganic ในระยะถัดไป ผ่านการซื้อกิจการ (M&A) และการร่วมทุนกับพันธมิตร (Joint Venture) ซึ่งมีเป้าหมายและโอกาสที่จะได้เห็นรูปแบบของการซื้อกิจการได้ภายในปี 2565 ประมาณ 1 ดีลการลงทุน

BBIK วางเป้าหมายรายได้ปี 2568 จะขยับฐานเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาท ภายใต้เป้าการเติบโตเฉลี่ยปีละ 70% ต่อเนื่อง หลังจากที่ก่อนหน้านี้รายได้มีการเติบโตมาแล้วต่อเนื่อง 5-6 กว่า 70% และมีฐานรายได้ที่เติบโตขึ้นจาก 200 ล้านบาทในปี 2563และวิ่งสู่ 300 ล้านบาทในปี 64 ซึ่งเป็นการเติบโตมาจากธุรกิจหลักที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนอย่าง Consulting Service และการเติบโตจากการทำดีลซื้อกิจการที่จะช่วยต่อยอดโอกาสการเติบโตได้ในทางลัด

.

อีกทั้ง นอกจากโอกาสรับงานลูกค้าในประเทศ และกลุ่มประเทศในอาเซียนแล้วนั้น BBIK จะไม่หยุดอยู่แค่นั้น โดยเลือกที่จะเข้าไปเจาะกลุ่มลูกค้าในกลุ่มประเทศยุโรป และสหรัฐ หลังจากที่ล่าสุดร่วมมือกับพันธมิตร เข้าไปรับงานจากลูกค้าในประเทศอังกฤษ มูลค่างานประมาณ 40 ล้านบาท ซึ่งเหมือนเป็นใบเบิกทางในโอกาสการรับงานที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต

.

ขณะเดียวกันด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ยังได้ย้ำภาพการเติบโตในมุมมองที่สะท้อนจากฝั่งผู้บริหารด้วยการปรับเพิ่มประมาณการและราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 เป็น 143 บาทต่อหุ้น และคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยปรับประมาณการกำไรปกติปี 2565-2567 ขึ้น 13% / 27% / 40% เป็น 127 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93% จากปีก่อน และ 220 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73% อีกทั้งจะเติบโต 376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71%

โดยสาเหตุหลักๆมาจากการปรับเพิ่มสมมติฐานการเติบโตของรายได้เป็น 494 ล้านบาท /722 ล้านบาท / 1.1 พันล้านบาทในปี 2565-2567 ทั้งนี้สมมติฐานของนักวิเคราะห์ยังต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ

.

ส่วนการปรับเพิ่มราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 เป็น 143 บาทต่อหุ้น อิง PER ที่ 65 เท่า ซึ่งเป็น Premiumที่สูงที่สุดของหุ้นในกลุ่ม Digital Transformation ที่ทางฝ่ายวิเคราะห์ แต่สมเหตุสมผลเทียบกับศักยภาพการเติบโตที่ 70% บนประมาณการที่ยังต่ำกว่า Guidance ของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

 

 


โจ๊กเกอร์