อนาคตที่สดใสของ Healthtech
ผมได้รับคำถามมาว่า ทำไมหุ้นยาจีนลงมาก ขออนุญาตเล่าเรื่องตามชื่อบทความก่อนนะครับ แล้วจะตอบคำถามให้ตอนท้ายๆ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะตอบถูก ลงทุนต่างประเทศก็ลำบากแบบนี้ ถามคนอื่นมันง่ายตอนมีคนให้ถาม ตอนไม่มีนี่ยากจริงๆ
ปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลในแต่ละปีสูงขึ้นอย่างน่ากลัว รัฐบาลประเทศต่างๆคงไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปจนควบคุมไม่ได้ ทางออกหนึ่งคือ นำเทคโนโลยีดิจิตัลมาใช้ในวงการสุขภาพ (Digital Healthcare Technology) หรือที่จะเรียกสั้นๆว่า Healthtech ถือเป็นความหวังที่จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึงและมีต้นทุนต่ำ ภายหลังจากการระบาดของโรค COVID-19 ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งทำให้แนวโน้มนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะคนไม่สามารถไปโรงพยาบาลได้อย่างสะดวกเหมือนเมื่อก่อน ธุรกิจให้คำปรึกษาออนไลน์ทางการแพทย์จึงเกิดขึ้น และถ้ามันทำงานได้ดีจริงๆ ก็มีทีท่าว่าจะคงอยู่เป็น New Normal
Tech เข้ามาทำอะไรอะไรกับวงการนี้ได้บ้าง McKinsey บอกว่ามี Value Pool หรือกลุ่มของคุณค่าที่ผู้บริโภคได้รับอยู่ 9 ประเภท เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผู้อ่านดูตามรูปเลยนะครับ ซึ่งผมเอามาจากรายงานที่ชื่อว่า “Healthtech in the fast lane: What is fueling investor excitement?” เขาบอกว่า ในปี 2019 ตลาด Digital Healthcare มีขนาด 350 พันล้าน $ คาดว่าในช่วงปี 2020-2024 จะเติบโต 8% ต่อปี สาขาใหญ่ที่สุดตอนนี้คือ R&D เช่น แล็บรับจ้างทำงานวิจัยต่างๆนานา แต่รายงานก็บอกว่าเริ่มอิ่มตัวแล้ว ผมไม่รู้ในรูปเรียงตามลำดับอะไร เหมือนข้างล่างจะโตเร็วกว่าข้างบนและค่าเฉลี่ย จึงอยากให้ดู Care Delivery และ Finance operation มากเป็นพิเศษครับ
โดยเฉพาะ Care Delivery เช่น ให้บริการทางการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และร้านยาดิจิตัล (Digital Pharmacies) เป็นสาขาที่มีศักยภาพในการลดต้นทุนสูงสุดแก่ผู้ใช้บริการ ผมเองก็ต้องไปหาหมอกระดูกทุก 2 เดือน เพื่อเจาะเลือด อ่านผล และรับยาเดิมๆ ซึ่งไม่รู้จะต้องไปทำไม ถ้ามีวิธีให้ผมเจาะที่ตลาดใกล้บ้าน อ่านผล วินิจฉัย จ่ายยามาทาง Kerry หรือไปรษณีย์ไทย น่าจะประหยัดทั้งเงินทองและเวลา เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ชื่อหุ้นสองตัวก็ลอยมาในอากาศทันที รายงานยังบอกอีกว่า ถ้าในสหรัฐมีการนำ Healthtech มาใช้อย่างจริงจัง จะลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพลงได้ 500 พันล้าน $ ต่อปีเลยทีเดียว
ดูเหมือนจะไกลตัว แต่จริงๆแล้ว เราคุ้นเคยกับหุ้นพวกนี้พอสมควรเลยครับ เช่น Fitbit (FIT:US) อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า Wellness & Diseases ซึ่งก็จะมีผู้ผลิต Wearable Devices ที่วัดการเต้นของหัวใจและคลื่นไฟฟ้า วัด Oxygen ในเลือด หรือวิเคราะห์การนอนหลับ แสดงว่าผู้ผลิตมือถือก็กำลังแห่กันเข้ามาในวงการ Healthtech เช่นเดียวกัน
ในรายงานไม่ค่อยได้พูดถึงชื่อหุ้นนะครับ แต่มีรายชื่อ Start-up จำนวนหนึ่ง ซึ่งเราก็สามารถไปค้นต่อว่า วงการนี้เขากำลังทำอะไรกัน เผื่อจะเป็นโอกาสในการลงทุน
ผู้อ่านที่สนใจลองกด link นี้ดูเองนะครับ
ที่ผมเล่าเรื่องนี้เพราะอยากให้ผู้อ่านเข้าใจว่า Healthcare Industry นั้นดูเหมือนจะดี แต่ในบางสาขาก็เริ่มอืดแล้วนะครับ เช่น หุ้นยาขนาดใหญ่ของสหรัฐที่กลายเป็น Defensive Stock ดูจากการที่ Warren Buffett เข้าไปซื้อ ในขณะที่โรงพยาบาลไทยหลังจากให้ผลตอบแทนแย่มาหลายปี ในระยะยาวน่าจะกลับมาเติบโตได้ดีกว่า SET เนื่องจากผลกระทบของสังคมสูงวัย แต่ถ้าจะหาอะไรที่เป็นของใหม่ดูดีมีอนาคต พวก Healthtech ก็อาจจะน่าสนใจ
กลับมาที่คำถาม ... ถ้าสังเกตดีๆ ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้หุ้นในกลุ่ม Healthcare ทางฟากจีน ที่ขึ้นมามากกลับกลายเป็นพวกรับทำ R&D เช่น Wuxi Biologics (2269:HK) และพวก Digital Healthcare ส่วนที่เหลือโดยเฉพาะหุ้นยา ไม่อยู่นิ่งๆก็ลง บางตัวผลประกอบการไม่ดีก็สมควรอยู่ แต่ตัวที่ผมถืออยู่ในรอบ 9 เดือนแรกของปีนี้กำไรสุทธิยังโต 25% หุ้นก็ยังลงกับเขาเหมือนกัน และผมไม่สามารถพูดได้ว่าตัวเองถูก และตลาดผิด น่าจะมีอะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้นแล้วครับ
พยายามจะขุดข้อมูลต่างๆอยู่นาน ไปได้จาก Sinobiopharm ที่ยอดขายในสามไตรมาสแรกลดลง 6% ทำให้กำไรลดลงถึง 18% (หักรายการพิเศษจะลดลง 12%) ช่างขัดกันกับ P/E ที่สูงหลายสิบเท่า ผู้บริหารบอกว่า นอกจากผลกระทบจาก COVID-19 ที่ทำให้การขายมีอุปสรรค และคนไม่ค่อยไปโรงพยาบาลอยู่ช่วงหนึ่งแล้ว ทางการจีนยังเดินหน้าลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพให้ตัวเองและประชาชน โดยยังมีการจัดประมูลยาจากส่วนกลาง (Drug Procurement Program) รอบใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ราคาขายของยาบางตัวลดลงเป็นอย่างมาก ในขณะนี้เข้าสู่รอบที่ 3 แล้ว (เหมือนจะมีปีละครั้ง ครั้งแรก 2018) แต่ละครั้งก็จะมีการเพิ่มรายชื่อเข้าไปเรื่อยๆ เมื่อสองปีก่อนบอกว่าจะเน้นที่ยาทั่วไป (Generic Drug) ส่วนพวกยายากที่ต้องทำ R&D (Innovative Drug) จะละเว้นไว้ก่อน แต่ผู้บริหาร Biosinopharm ให้ข้อมูลว่าเดี๋ยวนี้โดนหมด และยาบางตัวของเขาโดนไปแล้ว แต่ในขณะเดียวกันทางการก็เพิ่มรายชื่อยาที่สามารถเบิกได้ซึ่งก็อาจจะเป็นผลดีบ้าง
ส่วนหุ้นที่ผมบอกกำไรเพิ่มขึ้นเพราะว่ายังไม่โดน ต่อไปก็อาจจะโดน ราคาหุ้นจึงลง ก็ไม่ทราบจะทำยังไง ในการลงทุนเราสนใจที่ EPS เป็นหลักก็จริง แต่บางครั้งราคาหุ้นที่ลดลงอาจบ่งบอกว่านักลงทุนที่มีข้อมูลมากรู้อะไรบางอย่างแล้ว และตามที่ผมเคยพูดไว้หลายครั้ง ถ้าเราเริ่มรู้สึกว่า รัฐบาลจีนไม่รักหุ้นเรา ควรจะต้องหนีไปให้ไกล เพราะจะได้รับผลกระทบมาก
แต่ทางจีนทำบางอย่างที่กลับกันคือ กำลังโปรโมท “Internet + Healthcare” และ Medical Informatization ก็คือ Healthtech หรือ Digital Healthcare ตามที่ผมเล่าไว้ข้างบนนั่นเอง ต่อไปจะมีการคลายความเข้มงวดเกี่ยวกับโรคที่สามารถให้คำปรึกษาทางออนไลน์ โดยจะยอมให้มีโรคยากๆเพิ่มขึ้น
ผมคิดว่าหุ้น Digital Healthcare ในจีนที่ดังๆคงไม่พ้น AliHealth (241:HK) และ Ping An Healthcare & Technology (1833:HK) แต่จริงๆคงจะมีอีกมาก ลักษณะนี้ถ้ามี Healthtech ETF จะน่าสนใจกว่า แต่ยังไม่เคยเห็น ดังนั้นถ้าอยากจะลงทุนในธีมนี้ก็ต้องจับสองตัวนี้มาผูกกันเอง พูดถึงตรงนี้มีผู้อ่านติดค้างผมอยู่คนหนึ่ง เขาบอกจะไปมุดตู้ “คลีนิค 1 นาที” ของ Ping An แล้วจะกลับมารายงานว่าใช้การได้ดีหรือเปล่า ผ่านไปเป็นปีแล้วไม่ได้ยินข่าวคราว ผมยังคิดถึงอยู่น้า
แน่นอนว่าหุ้นพวกนี้ถ้าดูจาก P/E ก็เป็นอันจบกันไม่ต้องซื้อ มันเป็นหุ้นวิสัยทัศน์น่ะครับ แปลว่าคนที่สายตายาวไกล หรือ ฟลุ๊ก จะชนะ แทบจะมาเป็น Pattern เลยคือ เดิมไม่มีตลาด แต่มีโอกาสมหาศาล มันจะต้องสร้างตลาดขึ้นมาก่อน แล้วเอาตัวเองไปกินส่วนแบ่งให้ได้ ยอดขายจะโตเอาๆ แต่ไม่กำไร ถ้าองค์กรมีความสามารถ แข่งขันได้ ในที่สุดแล้วกำไรจะมา และราคาหุ้นขึ้นไปหลายเท่าตัว
ผมเป็น VI กึ่งโบราณ ในอดีตก็รับไม่ค่อยได้กับแนวคิดนี้เหมือนกัน เพราะไม่มีอะไรยืนยันว่าเราสายตายาวจริง ผู้อ่านก็ต้องชั่งน้ำหนักกันเองระหว่างรวยช้าแต่ชัวร์ กับรวยเร็วแต่ไม่ชัวร์ ความคิดสองอย่างนี้เป็นคนละขั้วพอๆกับอุดมการณ์ทางการเมืองแบบอนุรักษ์นิยม vs. เสรีนิยม ดังนั้นถ้าคุณเห็นคนรวยเร็วแต่ไม่ชัวร์มาโชว์ผลงาน ก็อย่าไปคิดอะไรมากนะครับ เขาอาจจะทำได้เพียงครั้งเดียวก็ได้
แย่หน่อยตรงที่ว่า ถ้าลงทุนด้วยด้วยเงินมากพอสมควร ทำได้แค่ครั้งเดียวนั่นก็เพียงพอแล้วในชีวิตนี้ - -“
ผมอยากจะปิดท้ายด้วยเรื่องตลกไม่ออกอย่างหนึ่ง ภายในไม่กี่เดือนรายย่อยเริ่มเห็นดีเห็นงามกับการลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้น กระแสมาแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่เคยปรากฏมาก่อนที่เห็นคนเชียร์ Go Inter ในสถานที่ต่างๆกันมากมายขนาดนี้ แต่กลับกลายเป็นว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงกว่า ... Me too นี่ไม่ Work จริงๆ ไม่ว่าเรื่องอะไร
แต่ในระยะยาวผมก็ยังคิดว่าลงทุนต่างประเทศควบคู่ไปกับในประเทศ น่าจะดีงามเหมาะสมแล้วครับ
ปล. มีผู้อ่านอีกคนส่งข้อความมาเยาะเย้ยว่า หุ้น DELTA ที่ผมซื้อมา 34 บาท ขายไป 97 บาท ขณะนี้มันขึ้นมาเกิน 10 เด้งแล้วหนา ... รมเสียๆ ใครส่งมาอีกจะแบน - -“