ห้องเม่าปีกเหล็ก

อนาคตที่สดใสของหุ้นกลุ่ม Healthtech

โดย คนเล่นหุ้น
เผยแพร่ :
70 views

อนาคตที่สดใสของ Healthtech

ผมได้รับคำถามมาว่า ทำไมหุ้นยาจีนลงมาก ขออนุญาตเล่าเรื่องตามชื่อบทความก่อนนะครับ แล้วจะตอบคำถามให้ตอนท้ายๆ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะตอบถูก ลงทุนต่างประเทศก็ลำบากแบบนี้ ถามคนอื่นมันง่ายตอนมีคนให้ถาม ตอนไม่มีนี่ยากจริงๆ

ปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลในแต่ละปีสูงขึ้นอย่างน่ากลัว รัฐบาลประเทศต่างๆคงไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปจนควบคุมไม่ได้ ทางออกหนึ่งคือ นำเทคโนโลยีดิจิตัลมาใช้ในวงการสุขภาพ (Digital Healthcare Technology) หรือที่จะเรียกสั้นๆว่า Healthtech ถือเป็นความหวังที่จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึงและมีต้นทุนต่ำ ภายหลังจากการระบาดของโรค COVID-19 ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งทำให้แนวโน้มนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะคนไม่สามารถไปโรงพยาบาลได้อย่างสะดวกเหมือนเมื่อก่อน ธุรกิจให้คำปรึกษาออนไลน์ทางการแพทย์จึงเกิดขึ้น และถ้ามันทำงานได้ดีจริงๆ ก็มีทีท่าว่าจะคงอยู่เป็น New Normal

Tech เข้ามาทำอะไรอะไรกับวงการนี้ได้บ้าง McKinsey บอกว่ามี Value Pool หรือกลุ่มของคุณค่าที่ผู้บริโภคได้รับอยู่ 9 ประเภท เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผู้อ่านดูตามรูปเลยนะครับ ซึ่งผมเอามาจากรายงานที่ชื่อว่า “Healthtech in the fast lane: What is fueling investor excitement?” เขาบอกว่า ในปี 2019 ตลาด Digital Healthcare มีขนาด 350 พันล้าน $ คาดว่าในช่วงปี 2020-2024 จะเติบโต 8% ต่อปี สาขาใหญ่ที่สุดตอนนี้คือ R&D เช่น แล็บรับจ้างทำงานวิจัยต่างๆนานา แต่รายงานก็บอกว่าเริ่มอิ่มตัวแล้ว ผมไม่รู้ในรูปเรียงตามลำดับอะไร เหมือนข้างล่างจะโตเร็วกว่าข้างบนและค่าเฉลี่ย จึงอยากให้ดู Care Delivery และ Finance operation มากเป็นพิเศษครับ

โดยเฉพาะ Care Delivery เช่น ให้บริการทางการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และร้านยาดิจิตัล (Digital Pharmacies) เป็นสาขาที่มีศักยภาพในการลดต้นทุนสูงสุดแก่ผู้ใช้บริการ ผมเองก็ต้องไปหาหมอกระดูกทุก 2 เดือน เพื่อเจาะเลือด อ่านผล และรับยาเดิมๆ ซึ่งไม่รู้จะต้องไปทำไม ถ้ามีวิธีให้ผมเจาะที่ตลาดใกล้บ้าน อ่านผล วินิจฉัย จ่ายยามาทาง Kerry หรือไปรษณีย์ไทย น่าจะประหยัดทั้งเงินทองและเวลา เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ชื่อหุ้นสองตัวก็ลอยมาในอากาศทันที รายงานยังบอกอีกว่า ถ้าในสหรัฐมีการนำ Healthtech มาใช้อย่างจริงจัง จะลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพลงได้ 500 พันล้าน $ ต่อปีเลยทีเดียว

ดูเหมือนจะไกลตัว แต่จริงๆแล้ว เราคุ้นเคยกับหุ้นพวกนี้พอสมควรเลยครับ เช่น Fitbit (FIT:US) อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า Wellness & Diseases ซึ่งก็จะมีผู้ผลิต Wearable Devices ที่วัดการเต้นของหัวใจและคลื่นไฟฟ้า วัด Oxygen ในเลือด หรือวิเคราะห์การนอนหลับ แสดงว่าผู้ผลิตมือถือก็กำลังแห่กันเข้ามาในวงการ Healthtech เช่นเดียวกัน

ในรายงานไม่ค่อยได้พูดถึงชื่อหุ้นนะครับ แต่มีรายชื่อ Start-up จำนวนหนึ่ง ซึ่งเราก็สามารถไปค้นต่อว่า วงการนี้เขากำลังทำอะไรกัน เผื่อจะเป็นโอกาสในการลงทุน
ผู้อ่านที่สนใจลองกด link นี้ดูเองนะครับ

https://www.mckinsey.com/industries/pharmaceuticals-and-medical-products/our-insights/healthtech-in-the-fast-lane-what-is-fueling-investor-excitement?fbclid=IwAR3n_pqePo8vxhCwJE4RPMRqpIkMtds0KUs_VB7P2jTPiOesKUrl0o6hYa4

ที่ผมเล่าเรื่องนี้เพราะอยากให้ผู้อ่านเข้าใจว่า Healthcare Industry นั้นดูเหมือนจะดี แต่ในบางสาขาก็เริ่มอืดแล้วนะครับ เช่น หุ้นยาขนาดใหญ่ของสหรัฐที่กลายเป็น Defensive Stock ดูจากการที่ Warren Buffett เข้าไปซื้อ ในขณะที่โรงพยาบาลไทยหลังจากให้ผลตอบแทนแย่มาหลายปี ในระยะยาวน่าจะกลับมาเติบโตได้ดีกว่า SET เนื่องจากผลกระทบของสังคมสูงวัย แต่ถ้าจะหาอะไรที่เป็นของใหม่ดูดีมีอนาคต พวก Healthtech ก็อาจจะน่าสนใจ

กลับมาที่คำถาม ... ถ้าสังเกตดีๆ ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้หุ้นในกลุ่ม Healthcare ทางฟากจีน ที่ขึ้นมามากกลับกลายเป็นพวกรับทำ R&D เช่น Wuxi Biologics (2269:HK) และพวก Digital Healthcare ส่วนที่เหลือโดยเฉพาะหุ้นยา ไม่อยู่นิ่งๆก็ลง บางตัวผลประกอบการไม่ดีก็สมควรอยู่ แต่ตัวที่ผมถืออยู่ในรอบ 9 เดือนแรกของปีนี้กำไรสุทธิยังโต 25% หุ้นก็ยังลงกับเขาเหมือนกัน และผมไม่สามารถพูดได้ว่าตัวเองถูก และตลาดผิด น่าจะมีอะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้นแล้วครับ

พยายามจะขุดข้อมูลต่างๆอยู่นาน ไปได้จาก Sinobiopharm ที่ยอดขายในสามไตรมาสแรกลดลง 6% ทำให้กำไรลดลงถึง 18% (หักรายการพิเศษจะลดลง 12%) ช่างขัดกันกับ P/E ที่สูงหลายสิบเท่า ผู้บริหารบอกว่า นอกจากผลกระทบจาก COVID-19 ที่ทำให้การขายมีอุปสรรค และคนไม่ค่อยไปโรงพยาบาลอยู่ช่วงหนึ่งแล้ว ทางการจีนยังเดินหน้าลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพให้ตัวเองและประชาชน โดยยังมีการจัดประมูลยาจากส่วนกลาง (Drug Procurement Program) รอบใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ราคาขายของยาบางตัวลดลงเป็นอย่างมาก ในขณะนี้เข้าสู่รอบที่ 3 แล้ว (เหมือนจะมีปีละครั้ง ครั้งแรก 2018) แต่ละครั้งก็จะมีการเพิ่มรายชื่อเข้าไปเรื่อยๆ เมื่อสองปีก่อนบอกว่าจะเน้นที่ยาทั่วไป (Generic Drug) ส่วนพวกยายากที่ต้องทำ R&D (Innovative Drug) จะละเว้นไว้ก่อน แต่ผู้บริหาร Biosinopharm ให้ข้อมูลว่าเดี๋ยวนี้โดนหมด และยาบางตัวของเขาโดนไปแล้ว แต่ในขณะเดียวกันทางการก็เพิ่มรายชื่อยาที่สามารถเบิกได้ซึ่งก็อาจจะเป็นผลดีบ้าง

ส่วนหุ้นที่ผมบอกกำไรเพิ่มขึ้นเพราะว่ายังไม่โดน ต่อไปก็อาจจะโดน ราคาหุ้นจึงลง ก็ไม่ทราบจะทำยังไง ในการลงทุนเราสนใจที่ EPS เป็นหลักก็จริง แต่บางครั้งราคาหุ้นที่ลดลงอาจบ่งบอกว่านักลงทุนที่มีข้อมูลมากรู้อะไรบางอย่างแล้ว และตามที่ผมเคยพูดไว้หลายครั้ง ถ้าเราเริ่มรู้สึกว่า รัฐบาลจีนไม่รักหุ้นเรา ควรจะต้องหนีไปให้ไกล เพราะจะได้รับผลกระทบมาก

แต่ทางจีนทำบางอย่างที่กลับกันคือ กำลังโปรโมท “Internet + Healthcare” และ Medical Informatization ก็คือ Healthtech หรือ Digital Healthcare ตามที่ผมเล่าไว้ข้างบนนั่นเอง ต่อไปจะมีการคลายความเข้มงวดเกี่ยวกับโรคที่สามารถให้คำปรึกษาทางออนไลน์ โดยจะยอมให้มีโรคยากๆเพิ่มขึ้น

ผมคิดว่าหุ้น Digital Healthcare ในจีนที่ดังๆคงไม่พ้น AliHealth (241:HK) และ Ping An Healthcare & Technology (1833:HK) แต่จริงๆคงจะมีอีกมาก ลักษณะนี้ถ้ามี Healthtech ETF จะน่าสนใจกว่า แต่ยังไม่เคยเห็น ดังนั้นถ้าอยากจะลงทุนในธีมนี้ก็ต้องจับสองตัวนี้มาผูกกันเอง พูดถึงตรงนี้มีผู้อ่านติดค้างผมอยู่คนหนึ่ง เขาบอกจะไปมุดตู้ “คลีนิค 1 นาที” ของ Ping An แล้วจะกลับมารายงานว่าใช้การได้ดีหรือเปล่า ผ่านไปเป็นปีแล้วไม่ได้ยินข่าวคราว ผมยังคิดถึงอยู่น้า

แน่นอนว่าหุ้นพวกนี้ถ้าดูจาก P/E ก็เป็นอันจบกันไม่ต้องซื้อ มันเป็นหุ้นวิสัยทัศน์น่ะครับ แปลว่าคนที่สายตายาวไกล หรือ ฟลุ๊ก จะชนะ แทบจะมาเป็น Pattern เลยคือ เดิมไม่มีตลาด แต่มีโอกาสมหาศาล มันจะต้องสร้างตลาดขึ้นมาก่อน แล้วเอาตัวเองไปกินส่วนแบ่งให้ได้ ยอดขายจะโตเอาๆ แต่ไม่กำไร ถ้าองค์กรมีความสามารถ แข่งขันได้ ในที่สุดแล้วกำไรจะมา และราคาหุ้นขึ้นไปหลายเท่าตัว

ผมเป็น VI กึ่งโบราณ ในอดีตก็รับไม่ค่อยได้กับแนวคิดนี้เหมือนกัน เพราะไม่มีอะไรยืนยันว่าเราสายตายาวจริง ผู้อ่านก็ต้องชั่งน้ำหนักกันเองระหว่างรวยช้าแต่ชัวร์ กับรวยเร็วแต่ไม่ชัวร์ ความคิดสองอย่างนี้เป็นคนละขั้วพอๆกับอุดมการณ์ทางการเมืองแบบอนุรักษ์นิยม vs. เสรีนิยม ดังนั้นถ้าคุณเห็นคนรวยเร็วแต่ไม่ชัวร์มาโชว์ผลงาน ก็อย่าไปคิดอะไรมากนะครับ เขาอาจจะทำได้เพียงครั้งเดียวก็ได้

แย่หน่อยตรงที่ว่า ถ้าลงทุนด้วยด้วยเงินมากพอสมควร ทำได้แค่ครั้งเดียวนั่นก็เพียงพอแล้วในชีวิตนี้ - -“

ผมอยากจะปิดท้ายด้วยเรื่องตลกไม่ออกอย่างหนึ่ง ภายในไม่กี่เดือนรายย่อยเริ่มเห็นดีเห็นงามกับการลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้น กระแสมาแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่เคยปรากฏมาก่อนที่เห็นคนเชียร์ Go Inter ในสถานที่ต่างๆกันมากมายขนาดนี้ แต่กลับกลายเป็นว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงกว่า ... Me too นี่ไม่ Work จริงๆ ไม่ว่าเรื่องอะไร

แต่ในระยะยาวผมก็ยังคิดว่าลงทุนต่างประเทศควบคู่ไปกับในประเทศ น่าจะดีงามเหมาะสมแล้วครับ

ปล. มีผู้อ่านอีกคนส่งข้อความมาเยาะเย้ยว่า หุ้น DELTA ที่ผมซื้อมา 34 บาท ขายไป 97 บาท ขณะนี้มันขึ้นมาเกิน 10 เด้งแล้วหนา ... รมเสียๆ ใครส่งมาอีกจะแบน - -“

 

คนเล่นหุ้น