ห้องเม่าปีกเหล็ก

หุ้นฮ็อต: BCP ร่วงแรงรับงบต่ำกว่าคาด เป็น`โอกาสซื้อ`หรือ`เสี่ยงลงต่อ`?

โดย Financial Investor
เผยแพร่ :
65 views
 

 

     BCP กำไรต่ำกว่าคาด กดราคาหุ้นร่วงกว่า 10% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ราคาหุ้นพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 22 ปี โบรกฯ คาดกำไรไตรมาส 4/60 อ่อนตัวตามค่าการกลั่น จับตา! ปัจจัยกระทบในปี 61 ทั้งแผนปิดซ่อมใหญ่ 45 วัน และการนำบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนช่วงปลายปี



    บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP รายงานกำไรไตรมาส 3/60 ที่ 1,316.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.7% จากปีก่อน ส่งผลให้กำไรรวม 9 เดือน อยู่ที่ 4,392.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.6% จากปีก่อน แต่ในช่วงก่อนที่จะมีการประกาศงบ ประมาณ 2 สัปดาห์ จนหลังจากประกาศงบแล้ว ราคาหุ้น BCP กลับลดลงต่อเนื่อง ทำให้ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น BCP ลดลงมากว่า 10%


    BCP ประกอบธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันขนาด จำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปทั้งค้าปลีก ค้าส่ง รวมถึงการลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โรงไฟฟ้าในรูปแบบต่างๆ และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง


    ก่อนหน้านี้ ราคาหุ้น BCP ทะยานขึ้นไปแตะ 44.5 บาท แตะจุดสูงสุดในรอบ 22 ปี จากที่ตลาดคาดการณ์กันว่ากำไรในไตรมาส 3/60 น่าจะเติบโตได้ดี เนื่องจากค่าการกลั่นที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าระดับปกติ แต่ด้วยรายการพิเศษจากการตั้งสำรองด้อยค่าเงินลงทุนโครงการ Nido ราว 1.3 พันล้านบาท ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงค่อนข้างน่าผิดหวัง



    บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/60 ออกมาต่ำกว่าคาด โดยมีกำไรสุทธิ 1,316 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน โดยบริษัทมีบันทึกด้อยค่าทั้งจำนวนของ Nido ประมาณ 1,368 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 39,009 ล้านบาท ลดลง 9% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน


    แม้ผลประกอบการจะออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็เป็นผลจากรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว และเชื่อว่าเหตุขัดข้องที่หน่วยแตกโมเลกุลด้วยไฮโดรเจนจะแก้ไขและทำให้ไตรมาส 4 สามารถกลั่นได้ในอัตรา 115,000 บาร์เรลต่อวัน จากไตรมาส 3/60 ที่ 110,000 บาร์เรลต่อวัน


    เราได้ทำการประเมิน Downside ของ ราคาหุ้น BCP อยู่ที่ 35.34 บาท ซึ่งถ้าเทียบ Risk Reward Ratio 8 เท่า ถือว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก นอกจากนี้แล้วระดับอัตราเงินปันผลตอบแทนยังอยู่ในช่วง 4-5% ทั้งนี้ มองว่าราคายังไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง โดยบริษัทมีการถือหุ้นใน BCPG ด้วยสัดส่วน 70% ซึ่งเมื่อคิดเป็นมูลค่าต่อหุ้น BCP จะอยู่ที่ประมาณ 20 บาท ฉะนั้น ด้วยราคา BCP ปัจจุบันที่ 40-42 บาท คิดเป็นมูลค่า Market Cap ธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจการตลาดต่อ EBITDA เพียงแค่ 3 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมกลุ่มโรงกลั่นที่มีค่าเฉลี่ยประมาณ 5.3 เท่า เราจึงให้คำแนะนำซื้อ BCP ด้วยราคาเป้าหมาย 61 บาท 

 

    ด้าน บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) ระบุว่า แนวโน้มกำไรในไตรมาส 4/60 ของ BCP ได้ส่วนช่วยจากอุปสงค์ของน้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว แต่ผลการดำเนินงานน่าจะปรับตัวลงเล็กน้อยจากไตรมาส 3/60 เนื่องจากค่าการกลั่น (Singapore GRM) ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 7.3 ดอลลาร์/บาร์เรล เทียบจากไตรมาสก่อนซึ่งสูงผิดปกติที่ 8.2 ดอลลาร์/บาร์เรล 


     สำหรับแนวโน้มปี 61 แม้มีแผนปิดซ่อมบำรุงใหญ่ แต่ได้ส่วนช่วยจากค่าการกลั่นที่มีแนวโน้มยืนอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากส่วนของน้ำมันอากาศยาน และน้ำมันเตา ที่อุปทานตึงตัว อีกทั้งรับรู้รายได้ธุรกิจไฟฟ้าใต้พิภพจากอินโดนีเซียเข้ามาเพิ่มเต็มปี ทางฝ่ายคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 61 ที่ 49.25 บาท


    สำหรับแนวโน้มในปี 61 มีปัจจัยสำคัญที่น่าจะส่งผลกระทบต่อ BCP ซึ่งต้องติดตาม ทั้งเรื่องแผนการปิดซ่อมโรงกลั่นยาว 45 วัน และการนำบริษัทย่อย BBGI เข้าจดทะเบียนในช่วงปลายปี


    ผู้บริหารของ BCP เปิดเผยในงาน Opportunity day ล่าสุดว่า บริษัทมีแผนที่จะปิดซ่อมโรงกลั่นในปี 61 ระยะเวลา 45 วัน ส่งผลให้การใช้กำลังการผลิตลดลงอยู่ที่เฉลี่ย 85% จากปีนี้ที่เฉลี่ยกว่า 90% หรือราว 1.11 แสนบาร์เรลต่อวัน แต่บริษัทจะมีการสต็อกน้ำมันไว้ เพื่อไม่ให้กระทบกับลูกค้าของบริษัท


    ส่วนแนวโน้มค่าการกลั่น (Market GRM) ปี 61 คาดว่าใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 6-7 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ขณะที่โรงกลั่นใหม่ที่จะมีการผลิตเข้ามาตลาดมีน้อยแล้ว ส่วนค่าการกลั่นในช่วงไตรมาส 4/60 คาดว่าจะอ่อนตัวลงจากไตรมาส 3/60 เพราะโรงกลั่นที่สหรัฐกลับมาผลิตหลังจากมีพายุเฮอร์ริเคนเข้ามากระทบในช่วงก่อนหน้านี้

 

    ด้าน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ยังคงให้คำแนะนำ ซื้อ สำหรับการลงทุนระยะยาว ด้วยราคาเป้าหมาย 47 บาท โดยราคาหุ้น BCP มีโอกาสฟื้นตัว จากกำไรที่มีแนวโน้มเติบโตตามกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นของ BCPG และการเพิ่มปริมาณกลั่นของโรงกลั่น


    นอกจากนี้ บริษัทเตรียมจะนำบริษัทย่อยคือ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (BBGI) ดำเนินธุรกิจไบโดดีเซล และเอทานอล ซึ่ง BCP ถือหุ้น 60% และ KSL ถือหุ้น 40% เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ช่วงไตรมาส 4/61 ส่วนธุรกิจการตลาดน้ำมัน คาดว่าจะเลื่อนไปจดทะเบียนในปี 62 ซึ่งจะช่วยให้บริษัทย่อยมีมูลค่าเพิ่มจากการขายหุ้น IPO ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นที่ลดลง ทำให้อัพไซด์เพิ่มขึ้นราว 26% ถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน ประกอบกับอัตราเงินปันผลสม่ำเสมอราว 5-5.5% ต่อปี


    โดยภาพรวมแล้วนักวิเคราะห์ยังคงมองบวกต่อหุ้น BCP แม้ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดจะออกมาต่ำกว่าคาด แต่การจะมองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมานี้เป็นโอกาสหรือไม่ คงจะต้องชั่งนำน้ำหนักระหว่างปัจจัยบวกและลบที่รออยู่กันให้ดี ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่าธุรกิจของ BCP ส่วนหนึ่งยังคงผันผวนตามราคาน้ำมันอยู่ด้วย


Financial Investor