ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทรงๆ หลังไร้ปัจจัยบวกใหม่ | Podcast Available

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตลาดด้วยบรรยากาศที่ไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ โดยเฉพาะดัชนีหลักอย่าง S&P 500 ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ติดต่อกันแล้ว ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลงยาวนานที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 8 เมษายนเลยทีเดียวค่ะ แม้ว่าในช่วงระหว่างวันจะมีความพยายามดีดตัวขึ้นมาบ้าง แต่สุดท้ายก็ต้านไม่ไหว แผ่วปลายปิดลบไปในที่สุด มันสะท้อนถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุนในตลาดตอนนี้ได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
ทีนี้มาดู "ต้นตอ" ของความกังวลนี้กันดีกว่าค่ะ สาเหตุหลักๆ ที่นักลงทุนทั่วโลกกำลังจ้องมองตาไม่กระพริบก็คือ "ปัญหาหนี้สินของสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ" และ "ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการบริหารการเงินการคลังของประเทศ" (Fiscal Concerns)
คำว่า "ความไม่แน่นอนทางการคลัง" ถ้าจะให้อธิบายแบบง่ายที่สุด ก็คือความรู้สึกไม่มั่นใจว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะจัดการกับรายรับ รายจ่าย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "หนี้สาธารณะ" ก้อนมหึมาของประเทศยังไงนั่นเองค่ะ ลองนึกภาพตามนะคะว่าถ้าประเทศที่เราจะไปลงทุนด้วยมีหนี้เยอะมากๆ แถมยังดูเหมือนจะไม่มีแผนจัดการหนี้ที่ชัดเจน เราก็คงรู้สึกหวั่นๆ ใช่ไหมล่ะคะ
ยิ่งไปกว่านั้น สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลกอย่าง Moody's เพิ่งจะออกมา "ลดอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ" นั่นหมายความว่า ในสายตาของ Moody's สหรัฐฯ ไม่ได้เป็น "ลูกหนี้ชั้นดี" เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว การปรับลดอันดับครั้งนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำความกังวลของนักลงทุนเข้าไปอีกค่ะ เพราะ Moody's คาดการณ์ว่าหนี้สินของสหรัฐฯ อาจพุ่งสูงถึง 134% ของขนาดเศรษฐกิจ (GDP) ภายใน 10 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่อยู่ประมาณ 100% แล้ว
ซึ่งตัวเลขการขาดดุลงบประมาณที่เกิน 6% ของ GDP ติดต่อกันมา 2 ปีแล้ว ก็เป็นตัวเลขที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุคสมัยใหม่ (ยกเว้นช่วงสงครามหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง)
ซ้ำเติมด้วยประเด็นร้อนทางการเมืองอย่าง "ร่างกฎหมายภาษีฉบับใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์" หรือที่เจ้าตัวเรียกว่า "One Big Beautiful Bill Act" ที่เพิ่งจะผ่านสภาผู้แทนราษฎรไปแบบฉิวเฉียด แม้ว่าเป้าหมายของกฎหมายนี้คือการลดภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในมุมของนักลงทุนจำนวนมากมองว่า มันจะยิ่งทำให้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นไปอีก
เพราะมีการลดหย่อนภาษีหลายรายการ เช่น สำหรับผู้มีรายได้รายชั่วโมง ผู้ซื้อรถยนต์ และผู้สูงอายุ รวมถึงการเพิ่มเพดานการลดหย่อนภาษีท้องถิ่นและรัฐ (SALT cap) จากเดิม $10,000 ในกฎหมายปี 2017 เป็น $40,000 ซึ่งเป็นผลจากการต่อรองของ ส.ส. รีพับลิกันจากรัฐที่มีภาระภาษีสูงอย่างนิวยอร์กและแคลิฟอร์เนีย
เสียงเตือนจาก "ตลาดพันธบัตร": เมื่อผู้ให้กู้เริ่มไม่ไว้ใจ
ในขณะที่ตลาดหุ้นกำลังซึมๆ สินทรัพย์ที่ถูกมองว่าปลอดภัยกว่าอย่าง "พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ" และ "ค่าเงินดอลลาร์" กลับได้รับความสนใจมากขึ้น ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น
สิ่งที่น่าจับตามองเป็นพิเศษคือ "อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 30 ปี" ค่ะ เพราะก่อนหน้านี้ yield ตัวนี้เคยพุ่งทะยานผ่านระดับ 5% และเข้าใกล้ระดับที่เคยเห็นครั้งล่าสุดในปี 2007 (ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤตการเงินโลกครั้งใหญ่) ก่อนที่จะย่อตัวลงมาบ้าง การที่ yield ระยะยาวพุ่งสูงขึ้นขนาดนี้ มันเป็นสัญญาณที่ตลาดส่งเสียงดังๆ เลยว่า นักลงทุนเริ่มต้องการ "ผลตอบแทนที่สูงขึ้น" เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการให้รัฐบาลสหรัฐฯ กู้เงินระยะยาวนั่นเองค่ะ ล่าสุด yield พันธบัตร 30 ปี ก็ผ่อนคลายลงมาบ้างหลังจากแตะระดับ 5.15%
คุณ Louis Navellier ผู้บริหารฝ่ายการลงทุนของ Navellier & Associates ให้ความเห็นไว้น่าสนใจค่ะว่า "ถ้าอยากให้ตลาดหุ้นกลับไปทำจุดสูงสุดใหม่ได้จริงๆ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรคงต้องปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ" พูดง่ายๆ คือ ตลาดพันธบัตรต้องสงบลงก่อน ตลาดหุ้นถึงจะไปต่อได้นั่นเอง
ด้านคุณ Mark Haefele จาก UBS Global Wealth Management ก็มองไปในทิศทางเดียวกันว่า "ความผันผวนในตลาดจะยังคงอยู่ต่อไป ท่ามกลางความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการค้าและแนวโน้มการคลัง" ตราบใดที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังอยู่ในระดับสูง และยังมีความเสี่ยงเรื่องภาษีนำเข้า (tariffs) กับปัญหางบประมาณรุมเร้า นักลงทุนก็คงยังต้องนั่งไม่ติดเก้าอี้กันต่อไปค่ะ
นักวิเคราะห์หลายท่านถึงกับบอกว่า สารที่นักลงทุนในตลาดพันธบัตรส่งออกมานั้นชัดเจนมาก นั่นคือ "ถ้าสหรัฐฯ ไม่รีบจัดการปัญหาการเงินการคลังให้เรียบร้อยโดยเร็ว ความเสี่ยงในการให้รัฐบาลกู้ยืมเงินจะเพิ่มสูงขึ้น และต้นทุนการกู้ยืมระยะยาวของรัฐบาลก็จะยิ่งถีบตัวสูงขึ้นไปอีก" ซึ่งผลกระทบเป็นลูกโซ่เลยนะคะ เพราะมันจะทำให้การลดการขาดดุลงบประมาณยิ่งยากขึ้นไปอีก และยังส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของภาคครัวเรือนและบริษัทเอกชนสูงขึ้นตามไปด้วย (เช่น ดอกเบี้ยบ้าน ดอกเบี้ยสินเชื่อธุรกิจ)
คุณ John Fath หุ้นส่วนผู้จัดการของ BTG Pactual Asset Management US LLC ถึงกับใช้คำพูดแรงๆ ว่า "ผู้คนเริ่มจะเอือมระอาแล้ว มันชัดเจนว่าไม่มีผู้ใหญ่ที่คุมเกมอยู่ในวอชิงตันเลยแม้แต่คนเดียว ไม่มีความรับผิดชอบใดๆ" และเขาเชื่อว่า "การเคลื่อนไหวของราคานี่แหละที่จะเป็นตัวตัดสิน"
ซึ่งก็เริ่มเห็นสัญญาณแล้วนะคะ เพราะเมื่อวันพุธที่ผ่านมา การประมูลพันธบัตรอายุ 20 ปีของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ก็ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากนักลงทุนเท่าที่ควร สะท้อนความกังวลที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับสถานะทางการคลังของประเทศ
คุณ George Catrambone หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้และการซื้อขายของ DWS Americas ก็ตั้งคำถามที่น่าคิดมากๆ ค่ะว่า "ตอนนี้นักลงทุนกำลังถามตัวเองด้วยคำถามที่ยากมาก นั่นคือ คุณจะให้รัฐบาลสหรัฐฯ กู้เงินที่อัตราดอกเบี้ย 5% เป็นระยะเวลา 30 ปีหรือไม่? นี่คือคำถามที่เรากำลังเผชิญอยู่ในตลาดพันธบัตรระยะยาว"
เมื่อตลาดพันธบัตรเริ่มส่งสัญญาณไม่ดี ประธานาธิบดีทรัมป์ก็เคย "กะพริบตา" มาแล้วครั้งหนึ่งนะคะ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายน ตอนที่ทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าตอบโต้ที่สูงที่สุดในรอบกว่าศตวรรษ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นทรัมป์ถึงกับยอมระงับภาษีส่วนใหญ่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากมีผลบังคับใช้ พร้อมกับยอมรับว่า "ตลาดพันธบัตรมันซับซ้อนมาก" และ "เห็นแล้วว่าผู้คนเริ่มจะไม่สบายใจ"
ตัวเลขตลาดที่ต้องรู้
มาดูภาพรวมของ "ดัชนี" ตลาดหุ้นหลักๆ และสินทรัพย์อื่นๆ กันหน่อยค่ะ
* ดัชนี S&P 500: ปิด ลดลงเล็กน้อย (ต่ำกว่า 0.1%)
* ดัชนี Nasdaq 100: ปิด บวก 0.2% แม้ว่าหุ้นเทคฯ ใหญ่ๆ หลายตัวจะยังไปได้ดี แต่การปรับตัวลงของหุ้น Apple Inc. ในช่วงท้ายตลาดก็ทำให้บรรยากาศโดยรวมดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ค่ะ
* ดัชนี Dow Jones Industrial Average: ปิด เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
* ดัชนี MSCI World Index: ลดลง 0.3%
* ดัชนี Bloomberg Magnificent 7 Total Return: บวก 0.8%
* อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี: ปรับตัวลดลง 7 "เบสิสพอยท์" มาอยู่ที่ 4.53% การที่ yield ลดลงก็แปลว่าราคาพันธบัตรสูงขึ้นค่ะ
* ดัชนีค่าเงินดอลลาร์: แข็งค่าขึ้น 0.2%
* Bitcoin: ราชาแห่งคริปโตเคอร์เรนซี ยังคงร้อนแรงไม่หยุด ราคาพุ่งทะลุ $111,000 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยล่าสุดซื้อขายกันอยู่ที่ประมาณ $111,092.3 (บวกขึ้นมาประมาณ 2.6% ในรอบ 24 ชั่วโมง)
* ราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI): ปรับตัวลดลง 1.1% ไปอยู่ที่ $60.88 ต่อบาร์เรล (และลดลงอีก 0.6% ในตลาดเอเชียมาที่ $60.85) การลดลงนี้เป็นวันที่ 3 ติดต่อกันแล้ว สาเหตุมาจากปริมาณน้ำมันสำรองของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น และมีข่าวว่ากลุ่ม OPEC+ กำลังหารือกันเรื่องการเพิ่มกำลังการผลิตครั้งใหญ่อีกครั้ง
* ราคาทองคำ Spot: ปรับตัวลดลง 0.7% มาอยู่ที่ประมาณ $3,290.51 ต่อออนซ์
เสียงจากกูรู: มองตลาดอย่างไรในช่วงนี้?
คุณ Thierry Wizman จาก Macquarie ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า "การขาดดุลงบประมาณจำนวนมหาศาลของสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่จะหมายถึงปริมาณพันธบัตรที่จะออกมาในตลาดมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อในที่สุด หากรัฐบาลต้องพิมพ์เงินเพื่อมาใช้หนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้" ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม มันทำให้ตราสารหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยคงที่ (nominal fixed-income instruments) ดูน่าสนใจน้อยลงสำหรับการลงทุนในระยะยาว
ส่วนคุณ Fawad Razaqzada จาก City Index และ Forex.com ก็เสริมว่า บรรยากาศการลงทุนในตอนนี้ยังคง "ไม่แน่นอน" (unsettled) และย้ำว่า "อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่อยู่ในระดับสูงนั้น ไม่เป็นมิตรกับสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นเอาเสียเลย"เขายังมองว่าแม้การปรับฐานของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในช่วงที่ผ่านมาจะยังค่อนข้างจำกัด แต่ก็มีความรู้สึก "หวาดหวั่น" ว่าอาจจะมีความปั่นป่วนรออยู่ข้างหน้าอีก ซึ่งทำให้เกิดข้อกังขาต่อมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นสหรัฐฯ
ข้อมูลเศรษฐกิจจริง บอกอะไรเราบ้าง?
ท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงิน ถ้าเรามาดูตัวเลข "เศรษฐกิจจริง" (hard economic data) ของสหรัฐฯ บ้าง ก็จะพบว่า
กิจกรรมทางธุรกิจและความคาดหวังด้านผลผลิต ปรับตัวดีขึ้น ความกังวลเกี่ยวกับการค้าลดลงบ้าง แต่แรงกดดันด้านราคายังคงเพิ่มสูงขึ้น
จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง
แต่ในทางกลับกัน ยอดขายบ้านมือสอง (existing home sales) กลับลดลงอย่างไม่คาดคิด
คุณ Don Rissmiller จาก Strategas ให้ความเห็นว่า "ข้อมูลเศรษฐกิจที่จับต้องได้ยังไม่ได้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังอยู่ในภาวะวิกฤต" แต่เขาก็มองว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจบางอย่างอาจถูก "ดึงไปทำล่วงหน้า" (pulled forward) ก่อนที่มาตรการภาษีนำเข้าจะมีผลบังคับใช้ และตอนนี้อาจจะเริ่มเห็น "ผลกระทบย้อนกลับ" (payback) แล้ว นอกจากนี้ เขายังเตือนว่าหากตลาดพันธบัตรเริ่ม "สั่งสอน" นักการเมือง ก็จะสร้างแรงต้านเพิ่มเติมให้กับภาคส่วนเศรษฐกิจที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ในขณะที่การเจรจางบประมาณกำลังดำเนินไปในช่วงฤดูร้อนนี้
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ว่าอย่างไร?
มาฟังทางฝั่งผู้คุมนโยบายการเงินอย่างธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด กันบ้างค่ะ ผู้ว่าการเฟด คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ได้ออกมาให้ความเห็นว่า เฟด "อาจจะสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025" แต่มีเงื่อนไขว่า "หากนโยบายภาษีนำเข้าของรัฐบาลทรัมป์ต่อคู่ค้าของสหรัฐฯ สามารถตกลงกันได้ที่ประมาณ 10% และทุกอย่างเรียบร้อยภายในเดือนกรกฎาคม" ถ้าเป็นไปตามนั้น เขามองว่าครึ่งปีหลังก็น่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ดี
นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่าศาลฎีกาสหรัฐฯ ได้ตัดสินให้ความคุ้มครองแก่เฟดจากการผลักดันของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการจะปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงานอิสระของรัฐบาลกลาง ซึ่งคำตัดสินนี้น่าจะช่วยลดความกังวลว่าประธานาธิบดีอาจจะเคลื่อนไหวเพื่อปลดประธานเฟด เจอโรม พาวเวล ได้
ตลาดเอเชีย ตอบรับอย่างไร?
ข้ามมาดูฝั่งเอเชียกันบ้างค่ะ ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นในเอเชียจะพอใจชื้นขึ้นมาได้บ้างในช่วงเช้าวันศุกร์ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (futures) ของหุ้นญี่ปุ่นและออสเตรเลียปรับตัวสูงขึ้น ส่วนสัญญาของหุ้นจีนค่อนข้างทรงตัว การดีดตัวขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์ ช่วยบรรเทาความกลัวเกี่ยวกับปัญหาการคลังของสหรัฐฯ ที่สั่นคลอนตลาดในช่วงก่อนหน้านี้ได้พอสมควร สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าจับตาในเอเชียวันนี้ ก็มีตัวเลขเงินเฟ้อของญี่ปุ่นและสิงคโปร์ และการผลิตภาคอุตสาหกรรมของไต้หวันค่ะ
ข่าวใหญ่ในโลกธุรกิจที่คุณไม่ควรพลาด
* Google (Alphabet Inc.): กำลังถูกจับตามองเป็นพิเศษ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) กำลังสอบสวนว่าข้อตกลงที่ Google ไปจับมือกับผู้พัฒนาแชทบอท AI ยอดนิยมรายหนึ่ง เพื่อนำเทคโนโลยี AI มาใช้นั้น เข้าข่ายละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด (antitrust) หรือไม่ ต้องติดตามกันยาวๆ ค่ะว่าผลจะออกมาเป็นยังไง
* Amazon.com Inc.: เนื้อหอมไม่เบา! กองทุนยักษ์ใหญ่ Pershing Square Capital Management ของนักลงทุนชื่อดัง บิล แอคแมน ได้เข้าซื้อหุ้น Amazon เพิ่ม โดยให้เหตุผลว่าเป็น "แฟรนไชส์ที่ยอดเยี่ยม" และได้หุ้นมาในราคาที่ "น่าดึงดูดอย่างยิ่ง"
* Apple Inc.: สาวก Apple เตรียมตัว มีข่าวว่า Apple ตั้งเป้าจะเปิดตัว "แว่นตาอัจฉริยะ" (smart glasses) ในช่วงปลายปีหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันอุปกรณ์ที่เสริมด้วย AI แต่ในขณะเดียวกันก็มีข่าวว่า Apple ได้พับแผนสำหรับ "Apple Watch ที่มีกล้องในตัว" ซึ่งสามารถวิเคราะห์สภาพแวดล้อมได้ไปก่อน
* Fannie Mae และ Freddie Mac: สองยักษ์ใหญ่ในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ หุ้นพุ่งกระฉูด หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาเปรยๆ ว่ากำลังพิจารณาที่จะนำทั้งสองบริษัทกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (public offering) อีกครั้ง ทำให้นักลงทุนคาดหวังถึงการปลดล็อกมูลค่าครั้งใหญ่
* Ralph Lauren Corp.: แบรนด์แฟชั่นหรู คาดการณ์ว่าการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่งจะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี พร้อมทั้งแสดงความระมัดระวังต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ
* Novo Nordisk A/S: ผู้ผลิตยาลดน้ำหนักสุดฮิต Wegovy กำลังจะขายยาตัวนี้ให้กับผู้ป่วยใหม่ในราคา $199 สำหรับเดือนแรก ในช่วงที่ยาราคาถูกกว่าที่เป็นยาเลียนแบบ (copycats) เริ่มหาได้ยากขึ้น
* Manchester United Plc: หุ้นของสโมสรฟุตบอลชื่อดัง "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ร่วงกราว! หลังจากพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโรปาลีกให้กับคู่แข่งร่วมลีกอย่างท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ซึ่งเป็นเกมที่เดิมพันสูงมาก (all-or-nothing) นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าผลงานในสนามก็ส่งผลต่อราคาหุ้นได้โดยตรงเลยนะคะ
* BYD vs Tesla ในยุโรป: สงครามรถ EV ดุเดือด BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน สามารถทำยอดขายแซงหน้า Tesla ในตลาดยุโรปได้เป็นครั้งแรกในเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยยอดจดทะเบียนรถยนต์ของ BYD พุ่งสูงถึง 169% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่ยอดขายของ Tesla กลับดิ่งลงถึง 49% ข้อมูลนี้มาจาก Jato Dynamics ค่ะ
* Harvard กับนักศึกษาต่างชาติ: มีข่าวใหญ่จากฝั่งการศึกษาค่ะ กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ (DHS) ได้ออกคำสั่งให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดหยุดการลงทะเบียนเรียนของนักศึกษาต่างชาติ โดยให้เหตุผลว่าผู้บริหารของมหาวิทยาลัยปล่อยให้การประท้วงต่างๆ สร้าง "สภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยภายในมหาวิทยาลัย" นักศึกษาปัจจุบันที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 27% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด จะต้องทำการย้ายไปเรียนที่สถาบันอื่น เรื่องนี้ทางฮาร์วาร์ดออกมาตอบโต้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐบาล ต้องติดตามดูกันต่อไปค่ะว่าจะส่งผลกระทบต่อแวดวงการศึกษาและบุคลากรระดับหัวกะทิของโลกอย่างไร
* เกาหลีเหนือกับการปล่อยจรวด: มีรายงานว่าเรือพิฆาตของเกาหลีเหนือได้รับความเสียหายจากความพยายามปล่อยจรวดที่ล้มเหลว โดยเรืออยู่ในสภาพตะแคงและจมอยู่ใต้น้ำบางส่วน ผู้นำคิม จองอึน ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่าเป็น "การกระทำผิดทางอาญาที่เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างที่สุด" ซึ่งถือเป็นการยอมรับความล้มเหลวที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อยนักจากฝั่งเกาหลีเหนือ และแน่นอนว่าเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาคค่ะ
* จีนกับแร่ลิเธียม: จีนมองว่าแร่ลิเธียม ซึ่งจำเป็นสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเป้าหมายการพึ่งพาตนเองของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสงครามการค้าโลกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม การผลักดันนี้ก็ต้องแลกมาด้วยต้นทุนทางการเงินและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่สูงลิ่ว
* ญี่ปุ่นกับการขึ้นค่าจ้างครั้งใหญ่: สมาพันธ์ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น (Keidanren) เปิดเผยว่า บริษัทในเครือได้ให้คำมั่นว่าจะขึ้นค่าจ้างให้กับพนักงานเกินกว่า 5% เป็นปีที่สองติดต่อกันแล้ว ตัวเลขนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ประมาณ 2.3% ถึงกว่าสองเท่า สาเหตุหลักมาจากภาวะขาดแคลนแรงงานอย่างต่อเนื่องและอัตราการว่างงานที่ต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว นี่เป็นสัญญาณบวกสำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่นนะคะ
สรุปและความเห็นส่วนตัว
สรุปปิดท้ายกันอีกรอบ สถานการณ์โดยรวมของตลาดการเงินโลกในตอนนี้ยังคงเต็มไปด้วย "ความไม่แน่นอน" ค่ะ ปัจจัยหลักๆ ที่ยังคงกดดันตลาดก็คือ ความกังวลเรื่องเพดานหนี้สินของสหรัฐฯ, นโยบายการคลังที่ไม่ชัดเจน, ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด, และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ปะทุขึ้นเป็นระยะๆ
ค่อยว่ากันใหม่สัปดาห์หน้า เพราะอย่างที่บอกมาทุกวันว่า สัปดาห์นี้ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรค่ะ ตลาดก็เริ่มนิ่งๆ แล้ว เพราะ Bill ของทรัมป์ผ่านไปแล้ว เหลือไปเจรจาต่อรองกับ ส.ว. ต่อ ซึ่งมันถูกตัดทอนอยู่แล้วค่ะ ดังนั้น worst case มันผ่านพ้นไปแล้วค่ะ กลับไปนอนต่อได้
ขอบคุณเนื้อหาข้อมูลที่มาจาก… Beauty Investor