ห้องเม่าปีกเหล็ก

เจาะงบไตรมาส 2 หุ้นโรงไฟฟ้า

โดย POWER
เผยแพร่ :
270 views

เจาะงบไตรมาส 2 หุ้นโรงไฟฟ้า

เมื่อเจอปัจจัยกดดัน กำไรยังโตได้หรือไม่?

.

ช่วงที่ผ่านมาหุ้นโรงไฟฟ้าได้รับปัจจัยกดดันหลากหลาย ทั้งค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ในงวดเดือนพ.ค. - ส.ค. 66 ที่ปรับลดลง และต้นทุนพลังงานที่มีความผันผวน ซึ่งจะสะท้อนออกมาในงบการเงินไตรมาส 2/66 ดังนั้น Wealthy Thai จึงมีคาดการณ์กำไรสุทธิของหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้ามาฝาก มาดูกันว่าจากผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นจะมีผลต่องบการเงินไตรมาส 2/66 ของหุ้นโรงไฟฟ้าหรือไม่ และนักวิเคราะห์ให้คำแนะนำการลงทุนอย่างไร

.

โดยบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า คาดทิศทางกำไรของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าในไตรมาส 2/66 จะเติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งปัจจัยที่หนุนให้กำไรปกติฟื้นตัวชัดเจนจากไตรมาส 2/65 เนื่องจากไม่มีนโยบายตรึงค่า Ft เพื่อช่วยเหลือภาคประชาชนไว้เหมือนปีก่อนหน้า และจำเป็นต้องมีการทยอยคืนหนี้บางส่วนให้กับกฟผ. ส่งผลให้ค่า Ft สะท้อนต้นทุนพลังงานที่แท้จริงได้มากขึ้น

.

สำหรับปัจจัยที่ทำให้กำไรเติบโตจากไตรมาส 1/66 มาจากกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP ที่จะเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของฤดูกาลขายไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อน ทำให้ปริมาณขายไฟฟ้าโดยรวมคาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP คาดกำไรไตรมาส 2/66 ยังดูทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาส 1/66 แม้จะได้รับผลกระทบจากค่า Ft ที่ปรับตัวลดลง แต่เป็นผลมาจากต้นทุนพลังงานที่เริ่มมีทิศทางขาลง จึงคาดอัตรากำไร (GPM) ยังประคองตัวใกล้เคียงเดิม

.

ขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน คาดกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ เช่น CKP, BCPG และกลุ่มโรงไฟฟ้า solar เช่น SSP เป็นต้น จะมีผลประกอบการดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าตามการออกจากช่วงโลว์ซีซั่นของฤดูกาลน้ำในไตรมาส 1/66 มาแล้ว และจะเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของ solar ในช่วงไตรมาส 2/66 แต่อย่างไรก็ตามคาดในกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานลม เช่น EA, GUNKUL เป็นต้น จะมีผลประกอบการที่ลดลงตามกระแสลมเริ่มอ่อนตัวตามช่วงฤดูกาล ในส่วนของคำแนะนำ เลือก GULF, BGRIM, และ GPSC เป็น Top picks กลุ่มฯ

.

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการรายบริษัท มาเริ่มกันที่ CKP บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า เบื้องต้นคาดผลประกอบการไตรมาส 2/66 จะพลิกเป็นกำไรจากไตรมาส 1/66 ได้จาก 1. ต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลง ผลจากราคา Asia Spot LNG และการปรับสัญญาสัมปทานของแหล่งก๊าซบงกช, 2. ปริมาณน้ำในลาวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวไตรมาส 1/66 ตามปัจจัยฤดูกาลจะส่งผลให้ปริมาณขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในลาวฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่เมื่อเทียบจากไตรมาส 2/65 คาดกำไรปกติจะลดลงจากฐานที่สูง หลังปริมาณน้ำในลาวมีแนวโน้มลดลง ผลจากปรากฏการณ์ลานีญาที่คลี่คลายและการเกิดคลื่นความร้อนในปีนี้ คาดกำไรปี 2566 ที่ 1,550 ล้านบาท ลดลง 36.37% คงคำแนะนำ ซื้อ และคงราคาเหมาะสมที่ 4.80 บาท แต่ในเชิงกลยุทธ์แนะนำ Wait & See หุ้นยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ที่จะเข้ามาหนุนการฟื้นตัวของราคาหุ้นในระยะสั้น

.

ถัดมา BCPG บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดกำไรปกติที่ 422 ล้านบาท ลดลง 23% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 164% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยกำไรที่ลดลงจากไตรมาส 2/65 เกิดจากโรงไฟฟ้าน้ำในลาวยังปิดดำเนินการต่ออีกกว่า 2 เดือน ก่อนคาดสามารถกลับมาเริ่ม COD และเริ่มขายไฟไปยังเวียดนามในเดือนพ.ค. 66 (เดิมขายไฟให้การไฟฟ้าลาว)

.

ส่วนกำไรที่เติบโตจากไตรมาส 1/66 จากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐ 151 เมกะวัตต์เต็มไตรมาสครั้งแรก และคาดมีรายได้จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำราว 1 เดือน โดยคงประมาณการกำไรปกติปี 2566 ที่ 1,455 ล้านบาท ลดลง 30% จากปีก่อน ตามรายได้ที่หายไปจากโรงไฟฟ้าน้ำในเวียดนาม 5 เดือน และผลกระทบจาก Adder ที่ทยอยหมดลง ซึ่งในปีนี้จะหมดลงทั้งสิ้น 32เมกะวัตต์ (ช่วงมี.ค.-เม.ย.66) โดยคาดกำไรจะกลับมาโดดเด่นและสามารถชดเชยผลกระทบที่หมดลงจาก Adder ได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/66 เป็นต้นไป คงคำแนะนำ ซื้อ และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเล็กน้อยเป็น 15.90 บาท

.

EA บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดกำไรไตรมาส 2/66 ยังเติบโตต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะ 1. ยอดขายรถบัส EV ที่เพิ่มขึ้น (ประเมินไว้ประมาณ 800 คันในไตรมาส 2/66) และ 2. ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพราะคาดว่าหน้าฝนปีนี้จะสั้นกว่าปีก่อนสืบเนื่องจากปรากฎการณ์เอลนีโญ โดยคาดว่าปัจจัยเหล่านี้จะชดเชยผลกระทบจากราคาขายในธุรกิจไบโอดีเซลที่ลดลงหลังอุปทานล้นตลาดได้ แต่คาดกำไรจะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/66 เพราะปัจจัยลบตามฤดูกาลจากธุรกิจพลังงานลม ที่มักจะมีความเร็วลมและการผลิตไฟฟ้าที่ลดลง ประเมินกำไรปี 2566 ที่ 8,240 ล้านบาท โต 8.36% จากปีก่อน ฝ่ายวิจัยให้คำแนะนำ ถือ มูลค่าพื้นฐาน 68 บาท

.

GUNKUL บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดกำไรไตรมาส 2/66 ที่ 250 ล้านบาท ลดลง 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 51% จากไตรมาสก่อนหน้า ตามปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้าพลังงานลม

.

โดยประเมินกำไรปกติปี 2566 ที่ 1,414 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อน ฟื้นตัวจากแรงลมที่ฟื้นตัว และงาน EPC, Trading ที่เริ่มกลับมาดีอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่คาดเริ่มเห็นงาน EPC จากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเริ่มเข้ามา ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไร ที่ 4.40 บาท แบ่งเป็น 1. ธุรกิจปัจจุบัน (โรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว และEPC) มูลค่า 3.20 บาท และ 2. โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่มูลค่า 1.20 บาท โดยราคาเป้าหมายยังมี upside risk จากการเปิดประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 2 อีก 3.7 พันเมกะวัตต์ ซึ่ง GUNKUL เตรียมยื่นโครงการที่ไม่ได้รับการคัดเลือกในรอบที่ผ่านมา 400 เมกะวัตต์ในรอบใหม่นี้

.

GULF บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดกำไรปกติไตรมาส 2/66 สามารถทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสได้อีกครั้ง แม้มีการปรับค่า Ft งวดพ.ค. -ส.ค. ลง หลังได้แรงหนุนจากการรับรู้รายได้จากการ COD หน่วยที่ 1 ของโรงไฟฟ้า GPD ในวันที่ 31 มี.ค. และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลงเร็วกว่าค่า Ft (สามารถชดเชยผลกระทบจากค่า Ft ที่ปรับลดลงได้) ประเมินกำไรปี 2566 ที่ 17,453 ล้านบาท โต 52.87% โดยคงคำแนะนำ ซื้อ และราคาเหมาะสมที่ 59.50 บาท อย่างไรก็ตามระยะสั้นหุ้นอาจยังมี Overhang จากปัจจัยการเมือง เชิงกลยุทธ์จึงยังไม่ต้องรีบเข้าลงทุน และอาจพิจารณาเข้าลงทุนหลังการตั้งรัฐบาลและการกำหนดนโยบายด้านพลังงานมีความชัดเจนแล้ว

.

BGRIM บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดกำไรปกติไตรมาส 2/66 ที่ระดับ 380-400 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า หลังต้นทุนก๊าซธรรมชาติใน EPP มีแนวโน้มลดลงเร็วกว่าค่า Ft (คาดที่ระดับ 400-420 บาท/MMBtu)

.

รวมถึงได้รับอานิสงส์จากการรับรู้รายได้จากลูกค้า IU กลุ่มใหม่ในไตรมาส 2/66 ราว 15-20 เมกะวัตต์ โดยหุ้นมีโอกาสเคลื่อนไหวได้ดีกว่ากลุ่มฯ ในระยะกลางจากกำไรที่อยู่ในช่วงของการฟื้นตัวและการได้รับความเสี่ยงจำกัดจากนโยบายของรัฐบาลใหม่ จึงคงคำแนะนำ ซื้อ และปรับราคาเหมาะสมสิ้นปี 2566 ลงเป็น 46 บาทต่อหุ้น มี Upside ราว 21.9%

.

และสุดท้าย GPSC บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คงมุมมองกำไรปกติไตรมาส 2/66 ราว1,510 ล้านบาท โต 160% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 45% จากไตรมาสก่อนหน้า หนุนโดยส่วนการขายไฟฟ้า IU ที่ GPM เพิ่มขึ้น แม้ค่า Ft จะปรับลดเฉลี่ยราว 38 สตางค์ต่อหน่วย แต่ได้ต้นทุนพลังงานที่ลดลงมากกว่ากลบ โดยคาดต้นทุนก๊าซฯ ปรับลดตามราคา spot LNG และราคาถ่านหิน ตามความต้องการที่ลดลงใน EU และออกจากช่วงฤดูหนาว

.

รวมถึงค่าความพร้อมจ่ายโรง IPP ที่เพิ่มตามฤดูกาล (เฉพาะเทียบกับไตรมาส 1/66) ประเมินกำไรปี 2566 ที่ 6,550 ล้านบาท โต 635% จากปีก่อน โดยฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 84 บาท และคงมุมมองในภาวะที่มีแรงกดดันจากความกังวลการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะกระทบนโยบาย Ft จะเป็นโอกาส ซื้อ

 

 


POWER