บาทแข็งค่า รับเงินเฟ้อสหรัฐฯต่ำกว่าคาด "กรุงไทย"ประเมินแนวรับ 35.20 บาท/ดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยการเคลื่อนไหวของเงินบาทประจำวันที่ 11 ส.ค. 65 ว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.35 บาทต่อดอลลาร์
“แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.56 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ผู้เล่นในตลาดกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น (Risk-On) หลังจากที่เงินเฟ้อทั่วไป CPI ของสหรัฐฯ รวมถึงเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.75% อย่างต่อเนื่องเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ (ล่าสุดจาก CME FedWatch Tool ตลาดประเมินโอกาสเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ราว 43% ลดลงจาก 68% ในวันก่อนหน้า) ซึ่งมุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้หนุนการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth นำโดย Amazon +3.5%, Apple +2.6%, Alphabet (Google) +2.6% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้นกว่า +2.89% ส่วนดัชนี S&P500 ก็ปิดตลาดกว่า +2.13%
ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX600 ก็พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นกว่า +0.89% นำโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth เช่นเดียวกับในฝั่งสหรัฐฯ อาทิ Adyen +3.7%, ASML +2.6%, Hermes +2.4% อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรปถูกกดดันโดยความผันผวนของราคาน้ำมันที่ส่งผลให้ หุ้นกลุ่มพลังงานต่างปรับตัวลดลง Equinor -2.8%, TotalEnergies -0.6%
ทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะปรับลดความคาดหวังการเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ของเฟดลดลง ทว่าอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงจะยังคงหนุนโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอยู่ ซึ่งแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ผันผวนและแกว่งตัวใกล้ระดับ 2.79% ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า จุดสูงสุดของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ นั้นได้ผ่านไปแล้วที่ระดับราว 3.50% โดยเรามองว่าแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ (รวมถึงความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว) และปัญหาการเมืองสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีจากการเลือกตั้งกลางเทอมจะเป็นปัจจัยหนุนให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเพิ่มสถานะการถือครองพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 2.70% ได้ในช่วงสิ้นปี
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ได้ปรับตัวลดลงกว่า -0.9% สู่ระดับ 105.2 จุด ตามมุมมองของตลาดที่ปรับลดโอกาสเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.75% นอกจากนี้ผู้เล่นบางส่วนยังได้ลดการถือครองเงินดอลลาร์ลงบ้าง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงแรก จะช่วยหนุนให้ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้านระดับ 1,820 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทว่า ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดกลับส่งผลให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรออกมา กดดันให้ ราคาทองคำย่อตัวลงและแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,807 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงการซื้อ ขาย เมื่อคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ต้องจับตา คือ รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) โดยตลาดประเมินว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนสิงหาคม อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52.5 จุด ตามภาระค่าใช้จ่ายที่ลดลง หลังราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวลดลง อย่างไรก็ดี แนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนของการจ้างงาน อาจกดดันความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตได้ พร้อมกันนี้ ตลาดจะรอลุ้น รายงานเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลาง (U of Michigan 5-yr Inflation Expectations) โดยหากเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานปลาง ทรงตัว หรือ ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 2.9% ที่รายงานก่อนหน้า ก็จะทำให้ตลาดยิ่งมองว่า ความกังวลต่อปัญหาเงินเฟ้อของเฟดอาจลดลง และเฟดอาจไม่จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.75% อย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจมีแนวโน้มผันผวนและแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดที่หนุนการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนจากโฟลว์ซื้อหุ้นของนักลงทุนต่างชาติเช่นกัน
อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทอาจไม่ได้แข็งค่าไปมากหลุดโซนแนวรับแถว 35.20 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากระดับดังกล่าวเริ่มเห็นบรรดาผู้นำเข้าทยอยเข้ามาซื้อเงินดอลลาร์มากขึ้น ส่วนนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาเก็งกำไรเงินบาทแข็งค่าในช่วงก่อนหน้า ก็เริ่มที่จะเข้ามาขายทำกำไรสถานะเก็งกำไรดังกล่าว นอกจากนี้ ควรระมัดระวังความผันผวนที่อาจเพิ่มสูงขึ้นในฝั่งสินทรัพย์ EM Asia และอาจเป็นแรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้ หลังจากที่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มกลับมากังวลปัญหาการระบาดของ COVID-19 ในจีนที่เริ่มส่งผลให้มีการทยอยใช้มาตรการ Lockdown ในบางพื้นที่ ซึ่งภาพดังกล่าวได้กดดันให้ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงปรับตัวลงหนักในวันก่อนหน้า ส่วนเงินหยวน (CNY) ของจีนก็ปรับตัวอ่อนค่าลงบ้างเช่นกัน
"มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.20-35.45 บาท/ดอลลาร์"