โบรกเกอร์แนะลดเสี่ยง : หลบภัยในหุ้นปันผล ท่ามกลางปัจจัยลบรุมถล่มตลาดหุ้นไทย
หลังจากเปลี่ยนศักราชได้เพียงไม่กี่วัน ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับเข้าสู่ภาวะชะงักงันในทันที ไม่เว้นแม้แต่ตลาดหุ้นไทย เมื่อนายโดนัล ทรัมป์ ออกมายอมรับถึงการส่งอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) เข้าลอบโจมตีสังหารนายพล “คาเซม โซไลมานี่” ผู้บัญชาการ ‘คุดส์ ฟอร์ซ’ (Quds force) ซึ่งเป็นกองกำลังลับพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน ขณะอยู่ที่บริเวณสนามบินประเทศอิรักขณะเดียวกันยังมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจโดยรวม และต่อเนื่องต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย อาทิ การยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2563 รวมถึงล่าสุด การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า ทำให้นักลงทุนตื่นตระหนกและเทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก โดยเพียงสัปดาห์เดียวดัชนีร่วงลงไปกว่า 100 จุด แม้จะปรับขึ้นบ้างเล็กน้อยในช่วงที่นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลลงบ้าง
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในวงการตลาดหุ้น ได้ให้ความสำคัญกับปัจจัยลบต่างๆ พร้อมกับให้คำแนะนำแก่ผู้ลงทุนทั่วให้ติดตามสถานการณ์ทั้งหลายอย่างใกล้ชิด และพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ และเสนอแนะให้กลับมาลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีปัจจัยเสี่ยงน้อย หรือหลักทรัพย์ที่มีผลตอบแทนเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์การลงทุนหลายสำนักให้ความเห็นถึงสถานการณ์เมื่อเกิดความขัดแย้ง หรือภาวะสงครามขึ้น สิ่งที่เห้นได้ชัดคือ “เม็ดเงินการลงทุนจะถูกโยกจากสินทรัพย์เสี่ยง ไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย” ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น “ทองคำและน้ำมัน ” ก็ตอบรับต่อเหตุการณ์ความขัดแย้งรุนแรงที่ปะทุขึ้นในทันที โดยราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 ปี ขึ้นมาที่ 1,588 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่าน ขณะที่ประเทศไทยเองนั้น ราคาทองคำก็มีการปรับขึ้นถึง 350 บาท/บาททองคำด้วยเช่นกัน
แม้ว่าเหตุการณ์ความตึงเครียดระหว่าง สหรัฐ-อิหร่าน เริ่มซาลงไปบ้างแล้ว แต่แนวโน้มทิศทางดัชนี SET INDEX ยังคงไม่มีการปรับตัวขึ้นมามากนัก เนื่องนักลงทุนส่วนใหญ่ ยังมีความกังวลต่อความขัดแย้งที่ยังไม่มีข้อยุติลงอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันในส่วนของสงครามการค้า เฟส 1 ที่ได้เจรจาหาข้อสรุปไปได้ไม่นาน ก็จะต้องมีการเปิดเจรจาในรอบใหม่อีก ซึ่งต่างลงความเห็นว่า “ให้ชะลอดูท่าทีไปก่อน” นอกจากนี้ปัญหาการระบาดของไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่จากเมืองอู่อั่น ก็กลายเป็นชนวนเหตุให้เศรษฐกิจและการลงทุนในหลายประเทศ ปรับตัวในทิศทางลง โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และสินค้านำเข้าส่งออกที่มาจากประเทศจีน เริ่มจากที่ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลดลงกว่า 150 จุด เมื่อวันอังคารที่ 21 มกราคม 2563 หลังจากตรวจพบว่ามีประชาชนชาวสหรัฐฯ ที่เดินทางกลับจากเมืองอู่ฮั่นของประเทศจีน ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ส่วนในประเทศไทนหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการขนส่ง ท่องเที่ยวและบริการ เช่น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ก็เกิดแรงเทขายออกมา จนราคาปรับตัวลดลงตอบรับต่อข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า โดย ณ วันที่ 24 มกราคม 2563 มีผู้ป่วยติดเชื้อแล้วกว่า 5 ราย
จากเหตุการณ์ที่กล่าวมา ทำให้นักลงทุนต่างวิตกกังวลต่อแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะปัจจัยลบที่เข้ามากระทบอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวผันผวนเป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้ก็ยังมีโบรกเกอร์หลายสำนัก ได้ออกมาแนะนำถึงโอกาสการลงทุนในภาวะวิกฤตที่อาจมีการปรับตัวขึ้นลงอย่างรุ่นแรง แต่มีหุ้นบางกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ หรือได้รับผลกระทบน้อย คือ “กลุ่มหุ้นปันผล” ซึ่งมีการเติบโตต่อเนื่อง และมีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ มีสภาพคล่องทางการเงินสูง มีเงินสดไม่ขาดมือ และมักจะอยู่ในกลุ่มธุรกิจ หรือภาคอุตสาหกรรมที่ไม่ค่อยหวือหวา มีส่วนแบ่งทางการตลาดในระดับสูง หรือ เป็นผู้นำในธุรกิจก็มีความสามารถทางการแข่งขันสูง และมักจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับปัจจัยสี่ เพราะเป็นสินค้าหรือบริการที่มีความจำเป็นเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งถึงแม้ว่าจะเกิดวิกฤตต่อเศรษฐกิจเช่น ปัญหาทางการเมือง หรือผลกระทบจากปัจจัยลบต่างประเทศ หุ้นกลุ่มนี้ก็มักจะไม่ได้รับผลกระทบ และยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง สะท้อนถึงการบริหารจัดการความเสี่ยง และแผนการพัฒนาธุรกิจในระยะยาวที่มีประสิทธิภาพ และเป็นหุ้นที่นักลงทุนให้ความเชื่อมั่น ซึ่งนักลงทุนที่เน้นการลงทุนหุ้นกลุ่มนี้หรือ SETHD เพราะนอกจากเป็นการลดความเสี่ยงจากปัจจัยที่เข้ามากระทบแล้ว ยังมีข้อดีคือ นอกเหนือจากการจ่ายปันผลในรูปแบบเงินสด หรือ Cash Dividend ที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับจากจำนวนหุ้นที่จ่ายให้ตามสัดส่วนของหุ้นที่ถืออยู่ นอกจากนี้ อาจจะจ่ายปันผลในรูปของหุ้นสามัญออกใหม่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของบริษัทในการจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นด้วย
แต่ทั้งนี้นักลงทุนที่ต้องการได้รับผลตอบแทนในรูปของปันผลจากการลงทุนในหุ้นนั้น ต้องมีการซื้อก่อนวันที่บริษัทจดทะเบียนประกาศจ่ายเงินปันผลและขึ้นเครื่องหมาย XD หรือ Excluding Dividend ซึ่งหากนักลงทุนที่ซื้อหลังหุ้นประกาศไปแล้ว ก็จะไม่ได้รับสิทธิปันผลในรอบการจ่ายปันผลนั้น โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเข้าซื้อสะสมหุ้นปันผลคือ ก่อนที่บริษัทจดทะเบียนจะมีการประกาศขึ้นเครื่องหมาย XD อย่างน้อย 1 - 2 เดือน ซึ่งปกติจะเริ่มทยอยประกาศในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน ดังนั้นช่วงเดือนมกราคม ถึงต้นกุมภาพันธ์ จึงเป็นช่วงจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าซื้อหุ้นปันผล โดยพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นจาก 30 หุ้นที่ปรากฏใน SETHD
ณัฐชาติ เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ ให้มุมมองต่อแผนการลงทุนในหุ้นปันผลโดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ กรอบการลงทุนระยะสั้น : สำหรับการลงทุนระยะสั้นเป็นเวลา 1 เดือนในช่วงเดือนมกราคมปี 2020 โดยพิจารณาหุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งได้รับอานิสงส์จากวิกฤตความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและอิหร่าน ได้แก่ IRPC, PTTGC, PTT ซึ่งเป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติเด่น คือ 1. เป็นหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET100 ซึ่งมีขนาดใหญ่พอประมาณ และน่าจะอยู่ในเรดาร์การซื้อของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งมักเป็นผู้ซื้อสุทธิโดยตลอดในเดือนมกราคม นับตั้งแต่ปี 2012 ที่ผ่านมา 2.เป็นหุ้นที่เริ่มเห็น Momentum ของการปรับเพิ่มประมาณการกำไร 3.เป็นหุ้นที่มีระดับ Downside ของราคาจำกัด 4.เป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มักปรับตัว Outperform ได้ดีในช่วงเดือนมกราคมของทุกปี
ขณะที่กรอบการลงทุนระยะกลาง : สำหรับการลงทุนระยะกลางเป็นเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2020 ไปจนถึงเดือนเมษายนปี 2020 ได้แก่ SCC, PTT, ADVANC, TISCO, SGP, AP, MAJOR, INTUCH, BBL, LH ซึ่งเป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติเด่นคือ 1.เป็นหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETHD ซึ่งมักเป็นดัชนีที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 4 เดือนแรกของทุกๆ ปีโดยตลอด 2.เป็นหุ้นที่มี Track record ย้อนกลับไปไกลจนถึงเดือนมกราคมปี 2011 3.เป็นหุ้นที่มีความเชื่อมั่นทางสถิติ (Confidence level) ที่จะให้ผลตอบแทน Total return เป็นบวกในช่วง 4 เดือนแรกของปีหน้า มากกว่า 80% ขึ้นไป
สุดท้ายคือกรอบการลงทุนระยะยาว : สำหรับการลงทุนระยะยาวเป็นเวลา 12 เดือน นับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2020 ไปจนถึงเดือนธันวาคมปี 2020 ได้แก่ ANAN, BJC, RS, MEGA, WHA, TPIPP ซึ่งเป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติที่สำคัญคือ 1.เป็นหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET100 ที่ราคาปรับตัวลงมาแรงมากในช่วงที่ผ่านมา จนทำให้ราคาล่าสุดอยู่ต่ำกว่าระดับ -2SD จากค่าเฉลี่ย 200 วันทำการ 2.ซึ่งจากการศึกษาของเราในอดีตพบว่า หากซื้อและถือครองไปเป็นระยะเวลา 1 ปีเต็มๆ มักให้ผลตอบแทนที่ชนะตลาดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2019 ที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้ และ 3.คาดการณ์หุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสกลับมาอยู่ในโฟกัสของนักลงทุนอีกครั้ง ในสภาวะที่ตลาดหุ้นไทยปีหน้ายังคงมี Upside จำกัดในเชิง Valuation เนื่องจากมี Downside risk ที่น่าจะจำกัดกว่าตลาด
ขณะที่ วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวเสริมว่า แนะนำลงทุนในกลุ่มหุ้นปันผลสูง High Dividend Stock ซึ่งประเมินว่า จะให้ผลตอบแทนที่ดี โดยจากงานวิจัยพบว่าสถิติ 9 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา การลงทุนในหุ้นปันผลสูง จะมีค่าเฉลี่ยผลตอบแทนประมาณ 9.6% (ด้วยความเชื่อมั่น 90%) ในช่วงระยะเวลาการลงทุนเพียง 4 เดือน ของการถือครองหุ้น (ม.ค.ถึง เม.ย.)
อย่างไรก็ตามสำหรับปี 2020 ประเมินเป้าหมาย (จุดสูงสุด) ของ SET Index ที่ 1,700 จุด อิงระดับ Forward PE 15.4 เท่า และระดับ EPS คาดการณ์ปี 2021 ที่ 110 บาท ส่วนระดับเลวร้ายสุดประเมินที่ 1,470 จุด อิงระดับ Forward PE ที่ 13.4 เท่า และระดับ EPS คาดการณ์ปี 2021 ที่ 110 บาทเช่นกัน
ด้าน สาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด ให้มุมมองต่อการลงทุนหุ้นปันว่า โดยปกติแล้วหุ้นปันผลมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี เพราะนักลงทุนจะหันมาพิจารณาเข้าลงทุนในหุ้นปันผลเพื่อรับข่าวบริษัทจดทะเบียนที่จะมีการประกาศจ่ายปันผล ขณะเดียวกันผลตอบแทนจากเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยนอกจากจะสามารถเอาชนะอัตราเงินเฟ้อแล้ว ยังให้ผลตอบแทนดีกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากด้วย ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยทั้งในประเทศ และต่างประเทศก็อยู่ในระดับต่ำมาก
“หากพิจารณาราคาหุ้นปันผลในกลุ่ม SET High Dividend 30 Index (SETHD) หรือ กลุ่มหุ้น 30 ตัวที่มีประวัติการจ่ายปันผลในอัตราที่สูงอย่างต่อเนื่องและมีสภาพคล่องในการซื้อ-ขายสูงแล้วพบว่า ราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และถือว่าอยู่ในระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับหุ้นทั้งตลาด โดยปัจจุบันมีระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไรในอนาคต (Forward P/E) อยู่ที่ 11.51 เท่า เปรียบเทียบกับดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ซึ่งอยู่ที่ 15.55 เท่า และภายใต้สถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบสิบปีที่ 1.25% ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของไทยอยู่ที่ราว 1.43% ในขณะที่หุ้นปันผลในดัชนี SETHD คาดการณ์ว่ามีอัตราการปันผลในปี 2563 ที่น่าสนใจประมาณ 5% นอกจากนี้ หากพิจารณาที่ผลตอบแทนจากอัตราเงินปันผลตั้งแต่ปี 2554 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2562 พบว่า อัตราเงินปันผลของดัชนี SETHD สูงกว่าดัชนี SET ทำให้มองว่าการลงทุนในหุ้นปันผลสูง น่าจะคุ้มค่าและน่าสนใจเมื่อเทียบกับการฝากเงินหรือลงทุนในพันธบัตร และการลงทุนในหุ้นที่มีความมั่นคง มีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้อีกด้วย" นายสาห์รัชกล่าว
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงหุ้นปันผลที่น่าสนใจว่า สำหรับกลุ่มหุ้นปันผล (Dividend stock) โดยในอดีตหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง ราคาหุ้นจะปรับตัวได้ดีกว่าตลาด หรือ outperform ในช่วงต้นปีไปจนถึงช่วงที่มีการประกาศจ่ายเงินปันผล และจ่ายเงินปันผลในเดือน เม.ย.-พ.ค. ดังนั้นจึงทำการคัดเลือกหุ้นที่น่าสนใจโดยใช้เกณฑ์ 1. เป็นหุ้นที่ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนในปี 2019 และปี 2020 สูงเกินกว่า 4% เทียบกับตลาดที่ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนที่ 3.15% 2.เป็นหุ้นที่ทาง CGS-CIMB แนะนำ ซื้อ 3. เป็นหุ้นที่มี upside สูงเกินกว่า 15% เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายของ CGSCIMB 4.มี ROE สูงเกินกว่า 10%
โดยหุ้นที่น่าสนใจประกอบไปด้วย PSH ที่ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนปี 2019 สูงถึง 10.1% และมี upside 23% จากราคาเป้าหมายซึ่งกำหนดไว้ที่ 17.70 บาท, QH ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนปี 2019 สูงถึง 7.5% และมี upside 21% จากราคาเป้าหมายซึ่งกำหนดไว้ที่ 3.06 บาท, LH ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนปี 2019 สูงถึง 7.3% และมี upside 20% จากราคาเป้าหมายซึ่งกำหนดไว้ที่ 11.70 บาท , SPALI ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนปี 2019 สูงถึง 5.4% และมี upside 28% จากราคาเป้าหมายซึ่งกำหนดไว้ที่ 21.30 บาท, AP ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนปี 2019 สูงถึง 5.3% และมี upside 15% จากราคาเป้าหมายซึ่งกำหนดไว้ที่ 8.40 บาท, INTUCH ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนปี 2019 สูงถึง 4.6% และมี upside 15% จากราคาเป้าหมายซึ่งกำหนดไว้ที่ 68.90 บาท, BBL ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนปี 2019 สูงถึง 4.4% และมี upside 26% จากราคาเป้าหมายซึ่งกำหนดไว้ที่ 187 บาทและ AMATA ให้อัตราเงินปันผลตอบแทนปี 2019 สูงถึง 4.0% และมี upside 79% จากราคาเป้าหมายซึ่งกำหนดไว้ที่ 30.00 บาท
ส่วนภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวลดลง จากเหตุการณ์วิกฤติความตึงเครียดที่เกิดขึ้น จากปัจจัยเสี่ยงซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ความวุ่นวายในตะวันออกกลาง ไวรัสโคโรน่าอู่ฮั่น หรือวิกฤตฝุ่นละอองขนาดเล็กที่กระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน ซึ่งแม้จะกระทบดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาก แต่ก็เป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในหุ้นที่ปันผลดี แต่ราคาต่ำลง ขอให้นักลงทุนวิเคราะห์ภาพรวมอุตสาหกรรมบริษัทจดทะเบียน เพราะผลกระทบไม่เท่ากัน
“การปรับตัวลงในระดับกลาง ๆ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ถึงอย่างไรทุกวิกฤติก็ยังมีโอกาสที่ให้นักลงทุนเข้าลงทุนได้ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีทั้งกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบและกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ ดังนั้น นักลงทุนต้องวิเคราะห์อัตราความเสี่ยงในการที่จะเข้าไปลงทุน โดยไม่ควรไปกังวลว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะสร้างความเสียหายเท่ากันหมด ซึ่งในช่วงที่ราคาหุ้น หรือดัชนี ฯ มีการปรับตัวลงมาก ๆ ก็ถือเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน โดยเฉพาะในหุ้นที่ปันผลดี ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นไทยก็ยังมีอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจ เฉลี่ยในอัตรา 3.26 % เมื่อรวมกับเงินปันผล หากเทียบกับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ที่ให้ผลตอบแทน 1.3%”
ทั้งนี้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปี 2562 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมาได้เพียง 1% ในรูปสกุลเงินบาท และ 9.7 % ในสกุลดอลลาร์สหรัฐ เพราะเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 7-8 % โดยยังเชื่อว่าปีนี้เงินทุนต่างชาติมีโอกาสที่จะไหลกลับเข้ามายังตลาดหุ้นไทย โดยในช่วงต้นปีนี้สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติปรับขึ้นมาอยู่ที่ 30% ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 10 ปี จากในช่วงปลายปีก่อนอยู่ที่ 28-29%
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก