ห้องเม่าปีกเหล็ก

เรียนรู้จาก Toy "R" Us ขอล้มละลายเพราะการเข้ามาของ E-Commerce

โดย SiTh LoRd PaCk
เผยแพร่ :
70 views

 

เป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจมากสำหรับคนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมของใช้เครื่องเล่นเด็ก นั้นคือ บริษัทขายของเล่นที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Toy "R" Us ประกาศยื่นขอล้มละลายต่อศาลในสหรัฐอเมริกา หลังจากมีปัญหาหนี้สะสมมายาวนาน และยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้

Toy "R" Us ทำธุรกิจขายของเล่นและเครื่องใช้เด็กเล็กไปจนถึงเด็กโต ขายของเล่นตามกระแส มีลิขสิทธิ์จากค่ายหนังมากมายที่ขายผ่านช่องทางของ Toy "R" Us ต่อมาบริษัทได้ขยายธุรกิจไปยังเครื่องใช้เด็กทารก ผ้าอ้อม โดยใช้ชื่อว่า Baby "R" Us ปัจจุบันมีร้านค้าอยู่มากกว่า 1600 ร้าน ใน 38 ทั่วโลก

 

ยอดขายของ Toy "R" Us ลดลงทุกๆปี
(ที่มาภาพ : brandinside.asia)

Toy "R" Us ประกาศล้มละลายโดยให้เหตุผล่ามีหนี้สินมากกว่า 5 พันล้านเหรียญ และมีดอกเบี้ยจ่ายต่อปีอยู่ที่ 400 ล้านเหรียญ ไม่สามารถจัดการได้ จำเป็นต้องเข้าสู่หมวด Chapter 11 เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ
การประกาศล้มละลายของอเมริกา มี 2 หมวดสำคัญ คือ Chapter 7 และ Chapter 11 สำหรับอย่างแรกคือบริษัทปิดกิจการ ขายทรัพย์สินออกไป แต่สำหรับ Chapter 11 คือ ขอประนีประนอมเจ้าหนี้โดยบริษัทยื่นล้มละลายแต่สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้

 

Toy "R" Us เคยประสบปัญหาหนี้สินท่วมบริษัท แต่ดีที่ได้การร่วมทุนจาก 3 บริษัท นั้นคือ บริษัท KKR บริษัท Bain Capital และบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Real Estate Vornado Realty Trust เข้าซื้อกิจการ 6.6 พันล้านในปี 2005 และขอยื่นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อเมริกาในปี 2010 แต่ประเด็นนี้ก็ถูกยกเลิกไปด้วยเหตุผลที่ว่า "สภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย"

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
CEO คนใหม่ของ Toy "R" Us ... Dave Brandon ..
(ที่มาภาพ : abcnews.go.com)

Toy "R" Us ยังกล่าวอีกว่า ภาวะตลาดของเล่นที่ไม่เติบโต อีกทั้งการเข้ามาแข่งขันทางด้าน Online อย่าง Amazon ทำให้กระทบกับยอดขายของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ได้ผู้บริหารคนใหม่อย่าง Dave Brandon เข้ามากุมบังเหยนพลิกฟื้นบริษัทต่อไป หลังจากที่ Dave Brandon มีชื่อเสียงมากจากการพลิกฟื้น Domino Pizza ที่อยู่ในสภาวะการแข่งขันรุนแรงไม่แพ้กัน

 

การเข้ามาแข่งขันของ Walmart ที่ขายตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ มีจุดที่เหนือกว่า Toy "R" Us คือสามารถลดราคาของเล่นได้ถูกมาก จูงใจให้เด็กชวนพ่อแม่มาซื้อของเล่น พ่อแม่จะได้ซื้อของใช้อย่างอื่นด้วยเป็นผลพลอยได้ ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่เหนือว่า Toy "R" Us ที่ขายแต่ของเล่นเพียงอย่างเดียวและแสดงจุดยืนว่าตัวเองคือผู้เชี่ยวชาญทางของเล่น ในขณะเดียวกัน การเข้ามาของ Amazon ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ของ Toy "R" Us แย่ลงไปอีก เพราะการซื้อของเล่นออนไลน์ มีราคาเปรียบเทียบ อีกทั้งถูกกว่า แถมยังมีคูปองส่วนลดที่หลากหลายกว่าด้วย กลายเป็นว่าร้านค้าของ Toy "R" Us เป็นห้างโชว์ของเล่นสำหรับเด็กให้เด็กเข้ามาลองจับของจริงก่อนที่จะกลับไปกดสั่งซื้อที่ Amazon

 

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ยอดขายต่อร้านค้า (SSSG) ลดลงไปถึง 4.1% ซึ่งทาง Toy "R" Us ก็ออกมายอมรับแล้วว่าสาเหตุจริงๆ คือ การเข้ามาของ Amazon เป็นจุดสำคัญ อย่างไรก็ตามบางสาขาก็ยังทำกำไรได้อยู่ บริษัทจะยังดำเนินธุรกิจต่อเนื่องและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสถานการณ์ High Season ที่จะมาถึงคือช่วงปลายของเดือนธันวาคม นี้เอง

 

ไม่เพียงแค่ Toy "R" Us เพียงอย่างเดียว แต่ดูเหมือนว่าร้านค้าอื่นๆจะได้รับผลกระทบไปด้วยไม่ว่าจะเป็นร้านขายรองเท้าอย่าง Payless และร้านขายเสื้อผ้าเด็กอย่าง Gymboree ก็ปิดตัวไปหลายสาขา ปรับโครงสร้างกิจการ เลิกจ้างพนักงานบางส่วน และหันไปทำธุรกิจขายของบนโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้น

 


ไม่ใช่เพียงแค่ Toy"R"Us เพียงอย่างเดียวที่ขอล้มละลายในหมวด Chapter 11 แต่ยังมีบริษัทอื่นๆอีกด้วย
(ที่มาภาพ : Fortune)

 

การเข้ามาในรูปแบบ Platform e-commerce ของยักษ์ใหญ่อเมริกาอย่าง Amazon รวมถึง Alibaba จากจีนแผ่นดินใหญ่ การขายของแบบเดิมๆก็ได้รับผลกระทบขนาดนี้ นึกไม่ออกเลยว่าเมื่อโลกเราพัฒนาไปถึง AI ขั้นสมบูรณ์ พนักงานประจำ ร้านค้าขายของแบบเดิมๆจะได้รับผลกระทบมากขนาดไหน เราคงต้องหันกลับมามองดูตัวเองแล้วว่า เราพร้อมจะรับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึงมากน้อยแค่ไหน .........

 

--------------------------------------------
เขียนและสรุปโดย SiTh LoRd PaCk
ขอบคุณแหล่งเนื้อหาเพิ่มเติม forbes.com, brandinside.asia, fortune.com และ bloomberg.com


SiTh LoRd PaCk