Dtac งานเข้า โบรคมองพื้นฐาน 30 บาท

หุ้นฮ็อต!! : จับตา DTAC ราคาแซงพื้นฐาน - งบ Q1/60 ส่อขาดทุนเป็นครั้งแรก

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -3 เม.ย. 60 13:59 น.

  จับตาหุ้น DTAC หลังราคาแซงพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ประเมินแค่ราว 30 บาท ขณะที่ผลการดำเนินงานโคม่า ไตรมาส 1/60 ส่อแววขาดทุนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังถูกแย่งลูกค้าจากการพ่ายประมูล 4G ส่วนคลื่น 2300 MHz จากทีโอที กูรูมองผลบวกจำกัด เหตุกว่าจะให้บริการได้คือช่วงปลายปี

  บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น ( DTAC ) ราคาปรับขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่กลางเดือน มี.ค.จากระดับ 39 บาทขึ้นมาทะลุ 44 บาท โดยเช้าวันนี้เปิดที่ 44 บาท ก่อนปิดการซื้อขายภาคเช้าที่ 43.50 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 1.14% มูลค่าการซื้อขายที่เบาบางเพียง 28.86 ล้านบาท แต่มีประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา
  DTAC ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ย่านความถี่ 800 เมกะเฮิรตซ์, 1800 เมกะเฮิรตซ์ และ 2100 เมกะเฮิรตซ์ภายใต้ชื่อทางการค้า "ดีแทค" เป็นบริษัทมือถือรายใหญ่ของไทยที่เพิ่งถูกคู่แข่งอย่าง TRUE เบียดหล่นจากอันดับ 2 มาอยู่อันดับ 3
  ผลประกอบการ DTAC สร้างความผิดหวังให้กับตลาด หลังงบ Q4/59 กำไรลดเหลือเพียง 30 ล้านบาท ต่ำกว่าคาดหลายเท่าตัว ส่งผลให้กำไรทั้งปี 59 อยู่ที่ 2.08 พันล้านบาท ลดลง 65% YoY ต่ำสุดในรอบ 7 ปี พร้อมกับสร้างเซอร์ไพร์สงดจ่ายปันผลในงวดครึ่งหลังปี 59 จากก่อนหน้านี้ที่ควักกำไรสะสมจ่ายปันผลมาตลอด ล่าสุดในงบรวม พลิกเป็นขาดทุนสะสมราว 3.3 พันล้านบาท
  ช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา หุ้น DTAC ถูกดันขึ้นมาสะท้อนความคาดหวังว่าจะเป็นผู้ได้คลื่นความถี่ 2300MHz ของทีโอที ล่าสุด 27 มี.ค. ที่ผ่านมา ทั้ง 3 ค่าย ได้แก่ ADVANC , DTAC และ TRUE ต่างก็ยื่นข้อเสนอเข้าบริหารคลื่น โดยจะต้องวางแผนธุรกิจ รายละเอียดการขยายโครงข่าย และผลตอบแทนที่จะให้ทีโอที
  คลื่น 2300 MHz นับว่าเป็นความหวังของ DTAC ที่จะมีคลื่นเพื่อให้บริการลูกค้า ก่อนที่ กสทช.จะเปิดประมูลคลื่น 1800 MHz ครั้งใหม่ในปี 61 หลังจาก DTAC พ่ายประมูล4G ทั้ง 2 คลื่น เมื่อ 2 ปีที่ก่อน ส่งผลมาร์เก็ตแชร์และผลการดำเนินอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด โดยปี59 กำไรเพียงกว่า 2 พันล้านบาท และถูก TRUE แซงขึ้นมาอยู่อันดับ 2 ในแง่ฐานลูกค้า
  สอดคล้องกับ "ฟิทช์" ที่คาดว่ารายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่าเชื่อมโยงโครงข่าย) จะลดลง 1-2% ในปี60 เพราะสูญเสียมาร์เก็ตแชร์ เห็นได้จากรายได้จากการให้บริการของ DTAC ปรับตัวลดลง (QoQ) มา 11 ไตรมาสติดกันจนถึง Q4/59 เช่นเดียวกับ "ทริสเรทติ้ง" ได้ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตองค์กร DTAC เป็น "ลบ" จาก "คงที่" เพื่อสะท้อนผลงานที่อ่อนแอลงช่วง 2 ปีผ่านมา
ดังนั้น แม้การชิงคลื่น 2300MHz จะดูเป็นบวกต่อ DTAC แต่ผลแพ้ชนะก็ต้องมาดูกันที่แผนธุรกิจว่าค่ายไหนเจ๋งกว่ากัน และแม้กรณีได้คลื่นมา โบรกฯ ก็มองผลบวกจำกัด กว่าจะเริ่มให้บริการก็ราวปลายปี
  บล.โนมูระ พัฒนสิน มองว่าการยื่นข้อเสนอเป็นพันธมิตกับ TOT แม้เป็น Positive sentiment ต่อ DTAC ที่จะช่วยคลายกังวลเกี่ยวกับคลื่น อย่างไรก็ตาม เชิงปัจจัยพื้นฐาน ประเมินผลบวกมีจำกัดเมื่อเทียบกับการประมูลคลื่น 1800 MHz ที่จะเกิดในปี61 ดังนั้น เราจึงไม่ให้น้ำหนักบวกต่อประเด็นดังกล่าว
  นอกจากนี้ ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนต้องระวังในช่วงสั้นนี้ คือ งบไตรมาส 1/60 ของ DTAC ที่คาดว่าจะประกาศราววันที่ 20 เม.ย.นี้ นักวิเคราะห์เห็นตรงกันว่าจะพลิกขาดทุนเป็นครั้งแรก ขณะที่ทั้งปียังสุ่มเสี่ยงและต้องลุ้นว่าจะขาดทุนหรือไม่!
  บล.โนมูระ พัฒนสิน คาดผลการดำเนินงานของ DTAC ใน Q1/60 จะพลิกเป็นขาดทุนสุทธิ 36 ล้านบาท จาก Q1/59 ที่มีกำไรสุทธิ 1,256 ล้านบาท และ Q4/59 ที่มีกำไรสุทธิ 30 ล้านบาท ผลจากรายได้ให้บริการลดลง (ไม่รวม IC) 2% YoY เพราะเผชิญการแข่งขันที่รุนแรง คาดว่าผู้ใช้บริการลดลงราว 1.3 แสนราย QoQ เหลือ 24.4 ล้านราย ณ สิ้น Q1/60 ขณะที่ต้นทุนการดำเนินงานยังปรับตัวสูงขึ้น ราคาเป้าหมาย 31 บาท
  บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาด Q1/60 พลิกเป็นขาดทุนปกติ 125 ล้านบาท ผลประกอบการถูกกดดันจากรายได้บริการที่คาดว่ายังหดตัวลง YoY ขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นจากทั้ง Handset Margin ที่ยังติดลบจากสภาพการแข่งขันในปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่อยู่ในระดับสูงหลังออกแคมเปญใหญ่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
  ส่วนประเด็นเรื่องโอกาสในการได้คลื่น 2300 MHz ไม่น่าจะเป็นบวกต่อผลการดำเนินงานของ DTAC ในทันที เพราะหากได้คลื่นจริงก็น่าจะเปิดให้บริการราวปลายปี ทำให้ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว DTAC จะยังคงต้องเผชิญกับการสูญเสีย Market Share โดยคาดกำไรปกติปี60 ที่ 2.08 พันลบ.ลดลง 17.8% YoY คาดว่าจะมี Downside และอาจถึงขั้นขาดทุน ส่วนราคาหุ้นปรับขึ้นมามากแล้ว และเกินราคาเหมาะสมที่ 30 บาท จึงแนะนำ "ขาย"

  ราคาเหมาะสมของ DTAC ที่ถูกปรับลดลงเหลือราว 30-31 บาท ต่ำกว่าราคากระดานที่ 44 บาท อีกทั้งเงินลงทุนเพื่อประมูลคลื่นในปีหน้า ยังเป็นความเสี่ยงว่าจะต้องเพิ่มทุนหรือไม่ การเก็งกำไรจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ