ห้องเม่าปีกเหล็ก

ทำไม "ทรัมป์" ต้องรีบปั่นผลงาน

โดย เม่าคาวบอย
เผยแพร่ :
48 views

ทำไม "ทรัมป์" ต้องรีบปั่นผลงาน (หรือก่อเรื่อง?) ในปีแรก?

สวัสดีค่าา วันนี้ “แอดบิวตี้” ขอพาทุกคนวาร์ปไปดูเรื่องการเมืองในอเมริกาแป๊บนึงค่ะ ไม่ต้องงงนะคะว่า เอ๊ะ! ทำไมวันนี้มาสายการเมือง? เพราะเรื่องนี้มันมีผลต่อเศรษฐกิจโลกและแน่นอน... กระเป๋าเงินของเราด้วย!

 

 

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า "การเลือกตั้งกลางเทอม" (Midterm Elections) ของสหรัฐฯ กันมาบ้างใช่มั้ยคะ? มันคือการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. บางส่วน ที่จัดขึ้นกลางวาระ 4 ปีของประธานาธิบดี ซึ่งบางครั้ง... พรรคของประธานาธิบดีที่กำลังอยู่ในตำแหน่งเนี่ย ก็อาจจะ "แพ้" การเลือกตั้ง จนเสียที่นั่งข้างมากไปในสภาฯ ทั้ง 2 สภาเลย! (คือทั้งสภาผู้แทนราษฎร หรือ House และวุฒิสภา หรือ Senate)

 

นึกภาพตามง่ายๆ เหมือนรัฐบาลเราสูญเสียเสียงสนับสนุนหลักในสภาฯ ไปพร้อมกันทั้งสองที่เลยค่ะ งานนี้เรื่องใหญ่แน่นอน!

 

แล้วทำไมพรรคของประธานาธิบดีถึงมีโอกาส 'แพ้' ในการเลือกตั้งกลางเทอม จนถึงขั้นเสียทั้งสองสภาฯ ได้ล่ะ?

เรื่องนี้มีหลายสาเหตุเลยค่ะ แต่มองแบบเข้าใจง่ายๆ หลักๆ ก็เช่น

 

เหมือนเป็นการ 'วัดเรตติ้ง' ประธานาธิบดี

การเลือกตั้งกลางเทอมมักจะถูกมองว่าเป็นการ "ลงประชามติ" กลายๆ ค่ะ ว่าประชาชนพอใจกับผลงาน 2 ปีแรกของประธานาธิบดีและพรรคของเขามากน้อยแค่ไหน ถ้าคนส่วนใหญ่รู้สึกไม่พอใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม หรือนโยบายต่างๆ ก็อาจจะโหวตให้อีกฝ่ายเพื่อ "ส่งสัญญาณ" หรือแสดงความไม่พอใจนั่นเอง

 

ต้องการ 'คานอำนาจ'

บางครั้ง ต่อให้พอใจประธานาธิบดีอยู่บ้าง แต่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอาจจะรู้สึกว่าไม่อยากให้พรรคเดียวคุมอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งทำเนียบขาว (ประธานาธิบดี) และสภาฯ ทั้งสองแห่ง เลยเลือกพรรคฝ่ายค้านเข้ามาเพื่อ "คานอำนาจ" (Checks and Balances) ให้มีการตรวจสอบ ถ่วงดุลกันมากขึ้น

 

’ ประเด็นร้อน' หรือ 'เหตุการณ์' สำคัญ

มักจะมีประเด็นเฉพาะกิจหรือเหตุการณ์ใหญ่ๆ ในช่วงเวลานั้นๆ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้คน เช่น สภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่, สงครามที่ไม่ได้รับความนิยม (อย่างกรณีอิรักสมัยบุช), นโยบายที่ไม่ถูกใจคนส่วนใหญ่ หรือแม้แต่เรื่องอื้อฉาวต่างๆ สิ่งเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้คนออกมาโหวต "สั่งสอน" พรรครัฐบาลได้เช่นกัน

 

แรงจูงใจในการออกมาโหวต

โดยปกติแล้ว การเลือกตั้งกลางเทอมจะมีคนออกมาใช้สิทธิ์น้อยกว่าตอนเลือกตั้งประธานาธิบดีค่ะ ซึ่งบางที กลุ่มคนที่ "ผิดหวัง" หรือ "ไม่พอใจ" รัฐบาล มักจะมีแรงจูงใจในการออกมาโหวตมากกว่ากลุ่มที่ "พอใจ" อยู่แล้ว ทำให้พรรคฝ่ายค้านได้เปรียบ

พอเราเข้าใจสาเหตุคร่าวๆ แล้ว ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงกันค่ะ ว่าพอแพ้ทั้ง 2 สภาฯ แล้วเกิดอะไรขึ้นผ่าน 2 เคสคลาสสิกค่ะ

 

สมัยประธานาธิบดี บิล คลินตัน (แพ้กลางเทอมปี 1994): ตอนนั้นพรรคเดโมแครตของคลินตันคุมทั้งสองสภาอยู่ดีๆ พอเจอเลือกตั้งกลางเทอมปุ๊บ! พ่ายแพ้จนพรรครีพับลิกันพลิกกลับมาชนะ ได้ครองเสียงข้างมากทั้งสองสภาเลย ซึ่งผลที่ตามมาคือ

 

เกิดภาวะ "งัดข้อ" ทางการเมือง: รัฐสภาชุดใหม่ (ที่คุมโดยรีพับลิกัน) กับประธานาธิบดี (เดโมแครต) ก็มีเรื่องขัดแย้งกันหนักเลยค่ะ โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณ จนถึงขั้นหน่วยงานรัฐต้อง "ปิดทำการชั่วคราว" (Government Shutdown) กันเลยทีเดียว เพราะตกลงงบกันไม่ได้

 

ประธานาธิบดีต้อง "ปรับกลยุทธ์”: คลินตันต้องหันมาใช้แนวทางที่เรียกว่า "Triangulation" (แปลง่ายๆ ว่าการหาจุดยืนตรงกลาง หรือดึงเอาจุดเด่น/นโยบายที่ประชาชนชอบจากทั้งสองฝั่งมาปรับใช้) เพื่อประนีประนอมและเดินหน้าบริหารประเทศต่อไปได้

 

สุดท้ายก็มี "ดีล" กันได้: แม้จะขัดแย้งกัน แต่สุดท้ายก็สามารถผ่านกฎหมายสำคัญๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันได้ เช่น กฎหมายปฏิรูปสวัสดิการ หรือการพยายามทำงบประมาณให้สมดุล

 

สมัยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช (แพ้กลางเทอมปี 2006): คล้ายๆ กันเลยค่ะ พรรครีพับลิกันของบุชครองทั้งสองสภาอยู่ แต่พอเลือกตั้งกลางเทอมปี 2006 แพ้! ทำให้พรรคเดโมแครตกลับมาคุมทั้งสองสภา ผลที่ตามมาก็คือ

 

เจอแรงต้านนโยบายหลัก: โดยเฉพาะเรื่องสงครามอิรักที่เดโมแครตไม่เห็นด้วย ทำให้การผ่านงบประมาณหรือการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับสงครามยากขึ้นเยอะ โดนตรวจสอบเข้มข้นมาก

 

เกิดภาวะ "ชะงักงัน" (Gridlock): การผลักดันกฎหมายใหม่ๆ ที่ประธานาธิบดีอยากทำ กลายเป็นเรื่องยากมาก เพราะสภาฯ ที่คุมโดยอีกพรรคก็ไม่เห็นด้วย เกิดภาวะที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน ทำให้อะไรๆ ก็ติดขัดไปหมด

 

อำนาจต่อรองลดลง: โดยเฉพาะเมื่อเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง การเสียสภาฯ ทั้งคู่ ทำให้พลังในการผลักดันนโยบายในช่วงท้ายวาระลดลงไปมาก

 

แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับการเงินของเรายังไง?

เกี่ยวสิคะ! เพราะ

 

ความไม่แน่นอนทางการเมือง: เวลาการเมืองในประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ เกิดความไม่แน่นอน หรือเกิดภาวะ "Gridlock" มันส่งผลต่อ "ความเชื่อมั่น" ของนักลงทุนทั่วโลกค่ะ

 

 

นโยบายอาจเปลี่ยน: การที่ประธานาธิบดีกับสภาฯ มาจากคนละพรรค อาจทำให้การออกนโยบายสำคัญๆ เช่น นโยบายภาษี การใช้จ่ายภาครัฐ กฎระเบียบต่างๆ ทำได้ยาก หรือต้องประนีประนอมกันเยอะ ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจและตลาดการเงินได้

 

ผลกระทบต่อตลาดโลก: ความผันผวนทางการเมืองและนโยบายในสหรัฐฯ สามารถส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่มาถึงตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ค่าเงินบาท และภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่เราเป็นส่วนหนึ่งอยู่ได้ค่ะ

 

ทำไมแอดถึงเอามาเล่าตอนนี้ อีกตั้งนานกว่าจะถึง Midterm Election

ง่ายๆ ค่ะ แอดจะบอกว่าอย่าเพิ่งพูดถึง lost decade ในสหรัฐฯ เลยค่ะ เพราะ ถ้าทรัมป์ผลงานไม่ดี ไม่ถูกใจ ทำตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจพัง

แค่ 2 ปีข้างหน้าก็น่าจะรอดยากแล้วค่ะ เพราะ

 

ในฝั่งสภาผู้แทนราษฎร หรือ House

Republicans ชนะ 220 ต่อ 215 …เท่ากับแค่ 3 เก้าอี้ ก็เปลี่ยนขั้วแล้วนะคะ

 

วุฒิสภา หรือ Senate

Republicans ชนะ 47 ต่อ 53 ...เท่ากับแค่ 4 เก้าอี้ ก็เปลี่ยนขั้วแล้วนะคะ

 

ดังนั้นเห็นแล้วนะคะว่า มันเป็นไปได้แบบง่ายๆ เลยถ้าทรัมป์ทำงานไม่ดีค่ะ

 

สรุปแล้วก็คือ แอดมองว่ามีโอกาสสูงที่ทรัมป์จะต้องรีบผลักดันนโยบายใหม่ๆ (ที่น่าจะสร้างความไม่พอใจ) ให้เสร็จในปีแรก (เช่น สงครามการค้า และปรามปรามผู้อพยพ) เพราะตัวเองมีอำนาจเต็ม ก่อนในปีที่ 2 จะต้องเร่งกลับมาทำผลงานให้ดีเพื่อเตรียมพร้อมหาเสียงในช่วง midterm election ค่ะ

ดังนั้นนักลงทุนอย่างเราๆ ก็ต้องอดทนกับทรัมป์ไปก่อนซัก 1 ปีค่ะ

 

 

ที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก… Facebook Beauty Investor

 


เม่าคาวบอย