บน Chart 15-2 ของ Merrill Lynch ในปี 1998 เป็นลักษณะของ key reversal bar ที่ด้านล่าง เป็นวันที่ราคาต่ำสุดอย่างแท้จริง ถือว่าเป็นกรณีคลาสสิกของ key reversal bar ที่เกิดขึ้นพร้อมกับมีปริมาณการซื้อขายค่อยๆ เพิ่มขึ้นในขณะที่ราคาหุ้นถึงจุดต่ำสุด ถึงแม้ว่ามันอาจจะดูเหมือนเป็นการสร้างเส้นแนวโน้มขาลงขนาดเล็ก แต่เมื่อเส้นแนวโน้มนี้ถูกละเมิดขึ้นไปก็เป็นการยืนยันสัญญาณกลับตัวที่ส่งมาจาก key reversal bar อย่างแท้จริง อันที่จริงถ้าเราดูจากแค่ตัวกราฟ เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าตอนนี้ตลาดหมีอยู่ในภาวะต่ำสุดแล้ว เพราะมันเพียงแค่บอกว่ามีโอกาสที่จะไล่ระดับราคาขึ้นไปเท่านั้น และเมื่อดูที่ปริมาณการซื้อขายที่มากเป็นพิเศษ นั่นก็บอกเราเพียงว่า key reversal bar นี้อาจเป็นการกลับตัวของแนวโน้มที่ใช้เวลานานกว่าปกติ 5 ถึง 10 วัน แต่มันอาจมีการแย้งว่าตลาดโดยรวมถึงจุดต่ำสุดได้ในวันเดียวเพราะลักษณะของรูปแบบนี้เกิดขึ้นพร้อมกับมีปริมาณการซื้อขายมารองรับเป็นการส่งสัญญาณว่าราคาหุ้นถึงจุดต่ำสุดในตลาดหมีแล้ว
อีกอย่างหนึ่ง ถ้าคุณมองดีๆ คุณจะเห็นว่ากราฟแท่งนี้มีโอกาสเป็น outside day ได้มากกว่ากราฟแท่ง key reversal bar เสียด้วยซ้ำ เพราะราคาปิดของมันอยู่สูงกว่าราคาปิดเดิมมาก นี่เป็นจุดที่มีความหมายเนื่องจากเราให้ความสำคัญกับการระบุปรากฏการณ์ทางเทคนิคที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยาที่สำคัญอย่างมาก แต่ที่จริงแล้ว แท่งกราฟพวกนี้ไม่สนหรอก ว่ามันจะถูกเรียกว่าอะไร
Chart 15-3 แสดงการส่งสัญญาณของ key reversal bar ที่ด้านล่างของกราฟดัชนี S&P ของ NYSE Composite ในเดือนกรกฎาคมปี 2002 เราจะเห็นราคาเปิดอยู่ในระดับเดียวกับราคาปิดของวันก่อนหน้า แต่กราฟไม่ได้บอกถึงจุดอ่อนที่เริ่มต้นจากการมีหุ้นหลายตัว เนื่องจากการเปิดแท่งกราฟจะไม่รวมหุ้นที่จับคู่คำสั่งซื้อ/ขายกันไม่ได้ เมื่อราคาไม่ได้เปิดลงอย่างแข็งแกร่งตามแนวโน้มเดิม หุ้นเหล่านี้ก็ต้องเลื่อนการเปิดออกไปจนกว่าราคาจะจับคู่กันได้ และราคาเปิดสำหรับดัชนี S&P จะรวมเฉพาะหุ้นที่ถูกซื้อขายในเวลาเปิดที่ 9.30 น. เท่านั้น เราจะเห็น trading bar ที่กว้างมากเมื่อเทียบกับแท่งกราฟอื่นๆ ที่อยู่บนกราฟ รวมถึงเห็นการลดของราคาอย่างรุนแรงและต่อเนื่องมาก่อน ซึ่งในเชิงจิตวิทยาแล้วถือว่ามันอาจเป็นการกลับตัวบนตลาดหมี แต่สิ่งสำคัญที่พิจารณาในสถานการณ์เช่นนี้ คือปริมาณการซื้อขายที่บันทึกเป็นสถิติ (record volume) ที่เกิดขึ้นในระหว่างช่วงเวลาซื้อขายนี้ และโดยปกติมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน ในขณะที่มันพัฒนาขึ้นหลังมีแนวโน้มขาลงที่ยาวนานแล้วมันมักส่งสัญญาณของตลาดกระทิงใหม่ ในกรณีนี้ดัชนีในเดือนตุลาคมได้ร่วงลงต่ำกว่าระดับต่ำสุดเล็กน้อย แต่ที่จุดต่ำสุดในเดือนกรกฎาคมจะมีจำนวนหุ้นที่ราคาถึงระดับต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์จำนวนมากกว่า ดังนั้นมันจึงเป็นจุดต่ำสุดที่รุนแรงมากกว่า
http://www.chiangmaifx.com/price-patterns-part-4.html