ส่อง “ทุนสำรองระหว่างปท.” กลุ่มอาเซียนแกร่งแค่ไหน...
น่าห่วงมั้ย? ในช่วง “ดอลลาร์แข็ง” กด ‘เงินอื่น’ อ่อนค่า !!!

.
สาระ Fund วันละนิด: ในวันที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับอีกปัญหาจากการที่ “ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า” ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 28 ก.ย. 22) “ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ” (Dollar Index) แข็งค่าขึ้นมาแล้วกว่า 17.43%
.
ทำให้ค่าเงินประเทศอื่นๆ ในโลกรวมถึง “ไทย” มีแนวโน้ม “อ่อนค่า” ลงไปตามๆ กัน !!!
.
ซึ่งหลายประเทศก็เลือกจะเข้ามาแทรกแซงค่าเงินของตัวเอง จนอาจจะส่งผลต่อ “ทุนสำรองระหว่างประเทศ” ของประเทศนั้นๆ ได้เช่นกัน (ไทยเองก็เคยไปสู้เรื่อง ‘ค่าเงินบาท’ จนหมดหน้าตักในวิกฤติต้มยำกุ้งมาแล้วในอดีต)
.
ล่าสุดมีข่าวคราวว่า “ทุนสำรองระหว่างประเทศ” ของไทยลดลง จน “แบงก์ชาติ” ต้องออกมายืนยันความแข็งแกร่งว่า ไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศมากเป็น “อันดับ12” ของโลกเลยทีเดียว “สบายใจได้” นั่นเป็น “ข้อเท็จจริง”
.
จากการสำรวจทุนสำรองระหว่างประเทศกลุ่ม “อาเซียน” ของทีมงาน ‘Wealthythai’ พบว่า ปัจจุบัน “ไทย” มีทุนสำรองระหว่างประเทศกว่า 2.2 แสนล้านดอลลาร์ มากเป็น “อันดับ2” ใน “อาเซียน” เป็นรองแค่ “สิงคโปร์” เท่านั้น
.
ความแข็งแกร่ง...ไม่ต้องพูดถึง “แกร่งจริง” แล้วประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ตัวเลข “ทุนสำรองระหว่างประเทศ” เป็นยังไงกันบ้างนั้น ได้สรุปเอาไว้ในข้อมูลด้านล่างนี้แล้ว ตามไปดูพร้อมๆ กันได้เลย
.
“สิงคโปร์” แชมป์ทุนสำรองระหว่างประเทศมากสุดใน ‘อาเซียน’ 2.88 แสนล้านดอลล์...ส่วน “ลาว” น้อยสุด 1.48 พันล้านดอลลาร์
.
ลองมาดูบริบทในภาพรวมของกลุ่ม “อาเซียน” กันดูบ้าง พบว่ามี “ทุนสำรองระหว่างประเทศ” เฉลี่ย 99,321.95 ล้านดอลลาร์ มี 6 ประเทศ ที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงกว่าค่าเฉลี่ย ได้แก่ สิงคโปร์, ไทย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
.
“โดย ‘ไทย’ มีทุนสำรองระหว่างประเทศ 2.88 แสนล้านดอลลาร์ มากเป็น ‘อันดับ2’ ของอาเซียน เป็นรองแค่ ‘สิงคโปร์’ ที่มีอยู่ 2.88 แสนล้านดอลลาร์ และเป็น 2 ประเทศในอาเซียนที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศมากทุละระดับ 2 แสนล้านดอลลาร์อีกด้วย ในขณะที่ ‘ลาว’ เป็นประเทสทีมีทุนสำรองระหว่างประเทศ ‘น้อยที่สุด’ 1.48 พันล้านดอลลาร์”
.
“ค่าเงินอาเซียน” ตั้งแต่ต้นปี ‘อ่อนค่า’ เฉลี่ย 12.61%...4 ปท. “ลาว-เมียนมาร์-ฟิลิปปินส์-ไทย’ ค่าเงินอ่อนค่ามากกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม
.
แล้ว “ทุนสำรองระหว่างประเทศ” คืออะไรล่ะ?
.
ตามตำราว่าไว้ หมายถึง เงินตราและสินทรัพย์ในสกุลเงินตราต่างประเทศ รวมถึงทองคำ ที่ธนาคารกลางถือครองและบริหารจัดการอยู่ เพื่อใช้หนุนหลังการพิมพ์ธนบัตร ดูแลเสถียรภาพด้านต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนในประเทศนั้นๆ ตลอดจนคนทั่วโลกที่จะมา ‘ลงทุน’ และ ‘ค้าขาย’ ด้วยนั่นเอง
.
“โดยเฉพาะในช่วงที่ ‘ค่าเงิน’ มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เช่น อ่อนค่าเร็วไป แบงก์ชาติต่างๆ ก็จะนำทุนสำรองระหว่างประเทศมาแทรกแซงค่าเงินของประเทศตัวเอง เหมือนที่ ญี่ปุ่นเพิ่งทำไป”
.
หันมาดู “ค่าเงินอาเซียน” ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 28 ก.ย. 22) ก็เจอชะตาเดียวกันกับหลายประเทศในโลกนั่นคือ ‘อ่อนค่า’ ลงไปเฉลี่ย 12.61% มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป หลังจาก “ดัชนีเงินดอลลาร์” แข็งค่าขึ้นมา 17.43% ก็ถือว่าอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในระดับที่ใกล้เคียงกัน
.
โดยมี 4 ประเทศ ที่ค่าเงินอ่อนค่ามากกว่าค่าเฉลี่ย ได้แก่ เงินกีบลาว, เงินจ๊าดเมียนมาร์, เงินเปโซฟิลิปปินส์ และเงินบาทไทย อ่อนค่าไป 43.24%, 18.32%, 15.23% และ 14.11%
.
ซึ่ง “เงินบาท” อ่อนค่าเป็น ‘อันดับ4’ ในอาเซียน ส่วน “เงินเรียลกัมพูชา” อ่อนค่าน้อยที่สุดเพียง 1.06%
.
“ล่าสุดทาง ‘แบงก์ชาติไทย’ เองก็ยืนยันแล้วว่า การอ่อนค่าของเงินบาทเป็นผลมาจากการแข็งค่าของดอลลาร์เป็นหลัก ซึ่งการอ่อนค่าเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับประเทศอื่นๆ ในโลก คงไม่ไปฟื้นทิศทางค่าเงินแต่ประการใด แต่ก็พร้อมดูแลหากมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ แต่คงไม่ไปตั้งธงว่าค่าเงินบาทต้องเป็นเท่าไร ส่วนนโยบายดอกเบี้ยก็ต้องพร้อมสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเป็นสำคัญ คงไม่ได้ต้องไปขึ้นแรงเพื่อสกัดเงินทุนไหลออกแต่ประการใด เว้นเสียแต่ตัวเลขเงินเฟ้อจะน่าเป็นห่วงจริงๆ (ก็เข้าใจตรงกันตามนี้นะ)
.
ล่าสุด ตลาดคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบายของ “ธนาคารกลางสหรัฐ” (FED) จะขยับไปอยู่ที่ระดับ 4.6% ในปีหน้า นั่นอาจจะส่งผลให้ “ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าต่อเนื่อง” ด้วยเช่นกัน ซึ่งแน่นอนย่อมจะมีผลกระทบต่อ “ค่าเงิน” ของประเทศทั่วโลกโดยเปรียบเทียบรวมถึง “ไทย” และ “อาเซียน” ด้วย ส่วนเรื่องนี้จะกลายเป็น “ปัญหา” อย่างที่หลายฝ่ายกังวลหรือไม่นั้น คงต้องติดตามกันใกล้ชิดต่อไปไม่ว่าจะเป็น “นักลงทุน” หรือ “ผู้ประกอบธุรกิจ” ก็ตาม