หุ้น หุ้นกู้ ทองคำ และคริปโต สินทรัพย์ไหนจะไปต่อในครึ่งปีหลัง 2564
#สรุปThaiBMASeminar 25 มิ.ย.
หุ้น หุ้นกู้ ทองคำ และคริปโต สินทรัพย์ไหนจะไปต่อในครึ่งปีหลัง 2564
.
Source :https://www.facebook.com/fbthaibma/videos/2167585586714650
.
เอกสารการบรรยาย
https://drive.google.com/drive/folders/1GRt2jwWqzPXgmwN5pWWfUJEfJ1bNR5g5?fbclid=IwAR0XLc2c22y7IVcjUnCyedzePAACZ6rNeFPKgTfyexrRFSrHZDjSFBgET6Q
.
-------------------------------------
.
ดร.โจ๊ก UOBAM
- ฟื้นตัวแบบ K -Shape มีทั้งฟื้นบางที่ ส่วนบางที่ยังไม่ฟื้นระบาดต่อ
- เงินทุนไปฝั่ง DM มากกว่า
- การแพร่ระบาด การกลายพันธุ์ของ Covid19
- S&P500 + จากปีก่อน 15% พวกหุ้นยุโรป Value stock ขึ้นมาดี
- มี 3 Peak
1. Peak Expectation การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ TESLA TSMC ก็มา
2. Peak Inflation ตัวเลขเงินเฟ้อออกมาสูงเกินไป แต่อย่างไรก็ดี Fed มองว่าเป็นเรื่องชั่วคราว
3. Peak Emotion เชื่อมั่นว่า ธนาคารกลางจะมีนโยบายเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายการคลังด้วย
- ติดตามทั้ง 3 ยอดจะทำให้ตลาดไปต่อ หรือมีคนที่กระโดดลงจากยอดดอย ใช้คำว่า "ขาขึ้นที่นักลงทุนไม่คุ้นเคย" เพราะมีทั้งเรื่อง inflation เรื่อง qe เรื่อง taper รวมถึง supply short เช่น น้ำมัน ที่อาจออกมาน้อยกว่าที่คด เพราะคนหันไปใช้ Clean Energy มากขึ้น รวมถึงเรื่องคริปโตก็เข้ามาใหม่ในยุคนี้
.
#ทองคำ มีการปรับตัวขึ้นมาในช่วงที่ผ่านมา จากสภาพคล่อง และหุ้น พันธบัตรราคาสูง
- แต่ทองคำ ก็ตัวเลือกอื่นมาแทนเช่น คริปโต
- เงินเฟ้อ กับดอกเบี้ย ช่วยหนุนราคาทอง เพราะทองช่วยเวลาป้องกันดอกเบี้ยต่ำ
- ถ้าดอกเบี้ยสูง ทองก็จะทรงๆ อาจเห็นราคาทองคำลงไปต่ำกว่า 1700 มองว่าซื้อได้
- ถ้าเศรษฐกิจดี ทองอาจจะเจอแรงขายมากกว่านี้
.
พอร์ตการลงทุน
มองสินทรัพย์เป็น 4 อย่าง
- สินทรัพย์ที่สร้าง Income >>> ยังน่าจะให้ผลตอบแทนไม่สูงมาก
- มองหุ้นฝั่ง DM ดีกว่า EM มาก เป็นไปได้ว่าช่วงครึ่งหลังของปี ตลาดอาจขยับมาที่ตลาด EM เช่น LATAM หรือ Eastern EUrope
- นอกจากนี้ยังมีสินทรัพย์ทางเลือก เพราะ bond ไม่ตอบโจทย์มากในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นเลือก alternative เพื่อป้องกันเงินเฟ้อ ซึ่งความผันผวนไม่สูง >> สิ่งที่ sensitive สูงจะปรับตัวลงก่อน แนะพวก real asset เช่น อสังหาริมทรัพย์ infra fund
- ทองคำมองว่าความผันผวนอยุ่ในระดับกึ่งกลาง แนะว่ามีในพอร์ต 7-10% ไม่ต้องเข้า bond ก็ได้
- ในฝั่งหุ้น มอง value vs growth >>> Value หุ้นไทย ธุรกิจตรงไปตรงมาน่าจะได้รับอานิสงส์จากการเปิดเมือง แต่มีความเสี่ยงเรื่องการเมือง ธนาคารกลาง รัฐบาลกลาง โดยเฉพาะเรื่องคลัง อาจมีความเสี่ยงเรื่องภาษีด้วย
.
=========
K.ทอม บล.TISCO
- #ตลาดหุ้นโลก เป็นขาขึ้น (ตลาดหุ้นทั่วโลกสามารถกลับไปจุดเดิมหลังร่วงปี 2020 ภายใน 6 เดือน)
- Fed อัดฉีดสภาพคล่องทำให้ตลาดหุ้นกลับมาได้รวดเร็ว รวมถึงมาตรการแจกเงินของคลังในแต่ละประเทศ
- แต่อาจมีแรงขายระยะสั้นจาก Taper Talks
- ไทยถือว่าน่าสนใจ 1580 จุด ยังเทรดอยู่ในระดับเดียวกับ Pre Covid
- ตลาดยังกังวลเรื่อง Delta อยู่ โดยเฉพาะใน UK 98% เป็น Delta และอีกหลายประเทศเริ่มมี Delta ของคนที่เป็น Covid-19
.
- World bank คาดGDP 2021 ของ US ฟื้น 6.8% ทั้งโลก 5.6% และโตต่อ 4.3% แสดงว่า Growth ที่ดีเกิดขึ้นในปี 2021-2022 ทั้งโลกทั้ง US ส่วนไทยคาดโต 2.2% ในปีนี้ โตปีหน้า 5.1% (ตัวเลขก่อนเจอเฟส3) ไทยโตช้าเพราะต้องรอนักท่องเที่ยว
.
- มองว่าสหรัฐกำไรทั้งปีจะโต 30% และโตต่อ 11% >>> เป็นตัว Support บริษัทจดทะเบียนที่ดี
.
- QE ทั้ง Fed ECB ยังคงทำอยู่ และอัดหนักกว่าในรอบก่อนหน้า และจำนวนเงินมากในช่วงแรกที่เกิดวิกฤติ
- Tapering ก็อาจเกิดแต่ค่อยๆลด แล้วค่อยว่ากันตอน Tightening (เอาเงินออก)
.
- เงินที่ไหลเข้า EM ลดลงกว่าเดิม (ก่อนโควิดไม่มาก) พอตอนนี้ก็ยังไม่เยอะมาก
- ฝรั่งจึงกลัวเงินไหลออก แต่ดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลอยู่ จึงไม่น่าห่วงมาก
.
- ครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่ Fund Flow ไหลเข้า โดยช่วงที่ผ่านมาเข้าหุ้น Value มากกว่า Growth แต่เชื่อว่าใน EM มีหุ้น value เยอะมาก
.
- ดู Foreign Ownership (FO) ว่ามีเยอะแค่ไหน ตอน 2013 มี 34% แต่ตอนนี้มีประมาณ 28%
.
- Valuation ของ EM ยังไม่เป็นอุปสรรค Dprward PE EM อยู่ที่ 14
- มองว่าไทยอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นในอีก 12 เดือนจากการฟื้นตัว เงินเฟ้อเป็นปัญหาชั่วคราว และเรื่อง QE Taperging ไม่น่าจะกระทบไทยมากเพราะต่างชาติมี FO น้อย
.
- มองเป้า SET 1680 จุดในครึ่งปีหลัง 2021 และ 1800 จุดในปี 2022
.
แนะนำSector
- เน้น theme reopening เป็นหลัก ต้องรอดูปีหน้าหลัง 120 วัน แต่ปีนี้แบงก์ชาติคาด 10 ล้านคน เช่น การบริโภค ค้าปลีก ธนาคารพาณิชย์
- โรงแรมเลือกตัวดีๆหน่อยที่ valuation เหมาะสม ฐานะการเงินดี ดูการประกอบธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
- ซึ่งธีมนี้จะลงทุนได้ทั้งไทยและต่างประเทศ
.
==============
K.โจ้ ธาดา ThaiBMA
ตลาดตราสารหนี้
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทย 1 เดือนจนถึง 48 ปี ได้ Shift ลง ช่วงที่เกิด Covid ในปี 2020
- พอพ.ย. 2020 Steepen Yield Curve หลังเลือกตั้งในสหรัฐ >>> เพราะคนมองว่าเศรษฐกิจถึงจุดต่ำสุดแล้ว และพวกระยะยาวยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในพวกกลุ่มระยะยาว 5 6 10 ปีขึ้นไป
.
- ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 2 ปี >>> 0.52% และถ้าเกรด AAA >>> 0.82% พบว่า Credit spread (ส่วนต่าง) ก่อนหน้านี้เยอะ ตอนนี้แคบลงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด
- spread เงินไหลกลับไปที่แบงก์ แล้วมีการปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าเงินกุ้
- พวก BBB+ ลงไปมี Yield สูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด สะท้อน Credit Spread ที่ยังสูง
- ดังนั้นพวกเรทสูง มี bond yieldต่ำลง ขณะที่พวกเรทติ้งต่ำมี Bond Yield สูงขึ้น
.
- มองว่า Yield ไทยจะเป็นไปตาม Yield สหรัฐ
- มองว่าพันธบัตรออมทรัพย์ 3-4 ปี ให้ดอกสูงกว่า Yield พันธบัตร 10 ปีในตลาด ลองไปเปิดดูนะ
- สถาบันทำ Shorten duration ขายตัวยาวมาซื้อตัวสั้น โดยคนธรรมดา หาตลาดในการเทรดยาก และเจอ Bid offer spread ที่กว้าง
- แนะซื้อ duration สั้นๆ จนอัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวขึ้น
.
- เงินฝากธนาคารพุ่ง กองทุนรวมตราสารหนี้ลด
- 2 ปีก่อน ยอดออกหุ้นกู้สูงมาก ปีก่อนแย่ ปีนี้ขึ้นกลับมาละ โดยออกแบบ BBB กว่า 1.8 หมื่นลบ. ส่วนกรณีขาย II/HNW มีทั้ง 2-3 ปี และเป็นเกรด AAA - HY BOND ส่วนในแง่ segment ก็จะพบว่ามีหลาย sector เลย
.
- มีปัญหาไม่สามารถไถ่ถอนได้ไหม
ปี 63 มี 1 บริษัทฟื้นฟูกิจการ / 14 บริษัทขยายวันไถ่ถอน
ปี 64 มี 17 บริษัทที่มีปัญหา ซึ่งมีทั้งออกตัวใหม่ และขอยืดชำระคืน
.
- โอกาสผิดนัดชำระหนี้ใน 2 ปีของหุ้นกู้ HY Bond พบว่า ระดับ BB+ ลงไป มีโอกาส 3%+ ผิดนัด B 9% B- 16% CCC+ 32% (BBB+ 18% BBB 2.4%)
- แนะกระจายลงหุ้นกู้หลายๆตัว อายุไม่มาก ระวังเรื่องเรทติ้งต่ำๆ
คำแนะนำหลังจากนี้
- มองว่า เวลามีข่าวหลุดว่าจะมีการทำ qe tapering ซึ่ง bond yield ขึ้นมา 1% กว่า แต่ถ้าเกิด tapering จริงๆ ตอบไม่ได้ว่าจะ react อย่างไร
- bond yield ไทย ต่ำกว่า yield สหรัฐ แต่อย่างไรไทยมี saving > investment ในแง่เชิงโครงสร้าง อาจจะเพราะ aging society ด้วยไหมไม่แน่ใจ
- มองว่า us bond yield 10 ปี ที่ตอนนี้อยู่ที่ 1.5% อาจจะขึ้นไปถึง 2%
- อัตราดอกเบี้ยไทย จะขึ้นไหม คงขึ้นกับการท่องเที่ยว
- supply government bond จะกระทบต่อ bond yield ไทยไหม
- us bond yield >> มองว่าไม่กระทบในแง่ supply กับบ้านเรา แต่ในแง่จิตวิทยาบ้านเราก็ตามบ้านเค้า
- พวก BBB+ ดอกเบี้ยดี แต่อยากให้ดูธุรกิจ งบให้ดีๆ ว่าจะได้รับผลกระทบจากโควิดไหม เพราะผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยงที่จะ default ที่แสดงก่อนหน้านี้ ถือว่ากลุ่มนี้น่าสนใจ
==============
ดร.แบงก์ ZIPMEX
.
- หลักทรัพย์ดิจิตอลเริ่มมี correlation กับ S&P500 มากขึ้น สถาบันเข้ามามากขึ้นFlow เข้ามามากขึ้น
- Crypto มองว่าเป็น Emerging asset เหมือนเด็กอายุ 12 ปี เมื่อมีกฎหมาย มีโครงสร้างเข้ามา ทำให้สถาบันการเงินเข้ามาได้
- Crypto High Risk มาก (และมี High return) แต่ลงทุนในระบบการเงินใหม่ ซึ่งมีเทคโนโลยี blockchain เข้ามาเกี่ยวข้อง และหวังว่าจะเกิด Mass Adoption เช่น เอลซัลวาดอร์ ในการชำระภาษี หรือปารากวัยด้วย
.
- ตั้งแต่ปี 2008-2009 Fed พิมพ์เงินมาก K.satochi เขียน white paper เรื่อง Financial Crisis ไว้ กล่าวถึงการเกิดขึ้นที่บ่อยและควรมี standard ในเรื่องเงิน หลังจากช่วง Bretton woods ในอดีต (ช่วงยกเลิกทองของเฟด)
- พันธบัตรรัฐบาล 10 ปีหลายประเทศก็ Yield ลดลงมา
.
- M3 >> Money Supply เพิ่มขึ้นเท่าตัวถึง 20 ล้านล้านๆ จากช่วงปี 2008 แล้ว จากการทำ QE
- Digital asset 1.3 Trillion USD จะต่อยๆใหญ่กว่าหุ้นรายตัว ตลาดหุ้นและตลาดการเงินต่างๆแล้ว
.
- (ดูในรูป Infrastructure) โครงสร้างในธุรกิจนี้ มี exchange ที่เป็นตัวกลางในการเทรด มีผู้รับฝาก ประกัน
- มี regulation เข้ามาควบคุมก่อนหน้านี้
- ธนาคารใน US เริ่มเข้ามาให้บริการต่างๆที่เกี่ยวข้องมากขึ้นในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
- มองว่า ธนาคารเริ่ม Provide Product & service ให้กับลูกค้า HNW ให้แล้ว
.
- PWC บอกว่าได้ hedge fund ได้เริ่มลงทุนใน digital asset แล้ว ราว 3%
- ETF ใหม่ๆ ก็ผุดขึ้นมาในการลงทุนใน crypto ในปีที่แล้ว ปีนี้
.
- BTC และ S&P500 มี correlationเพิ่มขึ้น แต่ช่วงพ.ค.ที่ผ่านมาสวนทางกัน ต้องรอดูว่าต่อไปจะเปนไง
- btc เพิ่งวิ่งตามทอง ค่าเงินด้วย ลองดูในรูปนะฮะ
- ธนาคารกลางหลายประเทศกำลังศึกษาการออกบิทคอยน์ด้วย
.
- มองว่าทุกครั้งที่ BTC correction มีโอกาสร่วงถึง 80-85% ถ้าสามารถลงทุนได้ แนะนำ dca ไป ถ้าลงอีกก็ซื้อเพิ่ม
- แต่ในแง่ Fundamental มองว่าสถาบันเข้ามาเยอะมาก
#คำถาม
- Fundamental ของคริปโต มีน้อยมาก โดยต้องเข้าใจเรื่อง blockchain และ halving ทุก 4 ปีจะถูกลดลงครึ่งนึง จะเป็นการที่ทำให้ deflationary asset ซึ่งเป็น Noise ที่เข้ามาในระบบ
- BTC จะมี 21 ล้านเหรียญและไม่มากกว่านั้น
- BTC ไม่มีผลประกอบการ กำไร >>> วิธีประเมิน ควรไปศึกษา technology blockchain ให้ดี
=========================
ขอบคุณ ThaiBMA