ห้องเม่าปีกเหล็ก

วอลล์สตรีทจัดปาร์ตี้ แต่ทำไม 'ทั่วโลก' กำลังไฟลุก

โดย เม่าคาวบอย
เผยแพร่ :
48 views

วอลล์สตรีทจัดปาร์ตี้ แต่ทำไม 'ทั่วโลก' กำลังไฟลุก

สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้อยากจะมาชวนคุยเรื่องร้อนๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ที่ตอนนี้บรรยากาศคึกคักเป็นพิเศษจนดัชนีหุ้น S&P 500 พุ่งขึ้นไปใกล้จะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว

หัวใจสำคัญของเรื่องราวทั้งหมดในตอนนี้อยู่ที่คำว่า "การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ" หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า "เฟด (Fed)" ค่ะ ตอนนี้นักลงทุนในตลาดแทบจะเทใจไปในทิศทางเดียวกันว่า เฟดกำลังจะลดดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ ซึ่งความหวังนี้เองที่เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงชั้นดีที่เติมพลังให้ตลาดหุ้นวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน

 

 

ทำไมนักลงทุนถึงมั่นใจว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย?

จุดเริ่มต้นของความเชื่อมั่นนี้มาจากตัวเลขการจ้างงานล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ออกมา "อ่อนแอกว่าที่คาด" ค่ะ พอตัวเลขการจ้างงานชะลอตัวลง มันก็เป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจที่เคยร้อนแรงอาจจะเริ่มแผ่วลงบ้างแล้ว เรื่องนี้ทำให้มุมมองของเฟดเริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมที่กังวลเรื่อง "เงินเฟ้อ" เป็นหลัก ตอนนี้ดูเหมือนว่าความกังวลจะเอนเอียงมาทาง "ตลาดแรงงาน" ที่อ่อนแอลงมากกว่า

ลองนึกภาพตามนะคะ เฟดมีภารกิจสองด้าน (Dual Mandate) ที่ต้องดูแล คือ ทั้งควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และรักษาการจ้างงานให้เต็มศักยภาพ พอการจ้างงานเริ่มมีปัญหา เฟดก็มีเหตุผลอันดีที่จะต้องเข้ามาประคองเศรษฐกิจ ซึ่งเครื่องมือที่ง่ายและเร็วที่สุดก็คือ "การลดดอกเบี้ย" เพื่อทำให้ต้นทุนทางการเงินถูกลง กระตุ้นให้บริษัทต่างๆ กล้าลงทุนและจ้างงานเพิ่มขึ้นนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ ตลาดจึงคาดการณ์กันไปแล้วว่าเราอาจจะได้เห็นเฟดลดดอกเบี้ยถึงเกือบ 3 ครั้งภายในปีนี้ โดยจะเริ่มต้นครั้งแรกในการประชุมเดือนกันยายนที่จะถึงนี้เลยค่ะ

 

แล้วเงินเฟ้อล่ะ หายไปไหน?

แน่นอนว่าเงินเฟ้อยังเป็นตัวแปรสำคัญที่ทุกคนจับตามองอยู่ค่ะ ในสัปดาห์นี้จะมีการประกาศตัวเลข ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลข Core CPI (ที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน) ของเดือนสิงหาคมจะยังคงเพิ่มขึ้น 0.3% เป็นเดือนที่สองติดต่อกัน ซึ่งแปลว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังไม่ได้หายไปไหนซะทีเดียว

นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า "Hawkish Cut" ที่อาจจะได้ยินกันหนาหูขึ้นค่ะ ศัพท์คำนี้หมายถึง การที่เฟด "ลด" ดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาด แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณที่แข็งกร้าว (Hawkish) ว่ายังคงกังวลเรื่องเงินเฟ้ออยู่ และพร้อมจะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งหากจำเป็น เป็นเหมือนการลดดอกเบี้ยแบบมีเงื่อนไข เพื่อไม่ให้ตลาดดีใจจนเกินไปและทำให้เงินเฟ้อกลับมาพุ่งสูงอีกครั้ง

 

เจาะลึกหนี้ผู้บริโภคสหรัฐฯ: พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หรือฟางเส้นสุดท้าย?

อีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจซึ่งช่วยเติมเต็มภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็คือตัวเลขการกู้ยืมของผู้บริโภคที่เปิดเผยโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ ค่ะ ข้อมูลล่าสุดในเดือนกรกฎาคมเผยว่า ยอดหนี้คงค้างของผู้บริโภคโดยรวมพุ่งขึ้นถึง 16,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่มากที่สุดในรอบสามเดือน และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 10,400 ล้านดอลลาร์อย่างมีนัยสำคัญ

เมื่อเจาะลึกลงไป จะพบว่าแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการใช้จ่ายผ่าน "หนี้หมุนเวียน" (Revolving Debt) ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือบัตรเครดิตนั่นเอง โดยยอดหนี้ส่วนนี้พุ่งสูงขึ้นถึง 10,500 ล้านดอลลาร์ นับเป็นการเพิ่มขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในปีนี้ ขณะที่ "หนี้ไม่หมุนเวียน" (Non-revolving Debt) เช่น สินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อเพื่อการศึกษา เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงที่ 5,500 ล้านดอลลาร์ (ข้อมูลนี้ไม่รวมสินเชื่อที่อยู่อาศัยนะคะ)

ตัวเลขนี้สะท้อนภาพสองด้านที่น่าขบคิดค่ะ ในมุมหนึ่ง การใช้จ่ายที่คึกคักนี้สอดคล้องกับยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่ง ทั้งในกลุ่มร้านค้าออนไลน์และร้านเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงยอดขายรถยนต์ที่แตะระดับสูงสุดในรอบสามเดือน ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเป็นกำลังหลักที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดตัวลง แต่ในอีกมุมหนึ่ง การพึ่งพาหนี้บัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางภาวะที่อัตราดอกเบี้ยยังสูงและค่าจ้างเริ่มเติบโตช้าลง ก็เป็นสัญญาณเตือนที่น่ากังวลเช่นกันค่ะ

ข้อมูลล่าสุดยังชี้ว่าสัดส่วนหนี้ผู้บริโภคที่มีการผิดนัดชำระหนี้อย่างรุนแรง (Serious Delinquency) ในไตรมาสที่สองได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2020 ซึ่งเป็นภาพสะท้อนว่าผู้บริโภคบางกลุ่มกำลังเริ่มประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักแล้วค่ะ

 

บทเรียนจากประวัติศาสตร์ บอกอะไรเรา?

เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต ข้อมูลสถิติที่น่าสนใจจาก Bloomberg Intelligence ชี้ว่า เดือนกันยายนมักจะเป็นเดือนที่ไม่ค่อยดีสำหรับตลาดหุ้น โดยดัชนี S&P 500 จะปรับตัวลงเฉลี่ย 1% หากนับย้อนไปตั้งแต่ปี 1971 แต่ในทางกลับกัน หากเป็นปีที่เฟดอยู่ในช่วง "ลด" ดอกเบี้ยและเศรษฐกิจ "ไม่ได้" เข้าสู่ภาวะถดถอย เดือนกันยายนกลับให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยถึง 1.2% เลยทีเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลจาก Deutsche Bank ยังระบุด้วยว่า ในช่วง 2 ปีหลังจากที่เฟดเริ่มวงจรการลดดอกเบี้ยโดยที่เศรษฐกิจไม่ถดถอย ค่ากลางของผลตอบแทนดัชนี S&P 500 สามารถพุ่งสูงขึ้นได้ถึง 50% นี่คือเหตุผลที่อธิบายได้ว่าทำไมตลาดหุ้นถึงได้ต้อนรับข่าวการลดดอกเบี้ยอย่างอบอุ่น เพราะทุกคนต่างหวังว่านี่จะเป็นการลงจอดแบบนิ่มนวล หรือ "Soft Landing" ที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงพอให้เงินเฟ้อเย็นลง แต่ไม่ถึงกับพังครืนจนเกิดภาวะถดถอยนั่นเอง

 

มองรอบโลก: ความไม่แน่นอนยังคงอยู่

ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังอยู่ในบรรยากาศเชิงบวก หากเรามองออกไปนอกประเทศ จะเห็นว่าภาพรวมของโลกยังมีความไม่แน่นอนซ่อนอยู่หลายจุดค่ะ

 

ประเทศจีน กับการปรับตัวในสงครามการค้า

เรื่องราวของจีนแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของภูมิทัศน์การค้าโลก ตัวเลขที่น่าตกใจคือ การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม ทรุดตัวลงอย่างรุนแรงถึง 33% ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงจากกำแพงภาษีที่สูงถึง 55% แต่เรื่องที่น่าทึ่งคือ การส่งออกโดยรวมของจีนกลับยังเติบโตได้ 4.4% เพราะจีนหันไปบุกตลาดใหม่ๆ อย่างจริงจัง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียนที่การส่งออกโตถึง 23% และแอฟริกาที่โต 26% ทำให้จีนกำลังจะสร้างสถิติ เกินดุลการค้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีนี้

อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังความสำเร็จนี้มีราคาที่ต้องจ่ายค่ะ บริษัทจีนจำนวนมากกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดและราคาส่งออกที่ตกต่ำ ซึ่งกัดกร่อนกำไรของบริษัท และยังสะท้อนถึงความต้องการซื้อสินค้าภายในประเทศที่ยังอ่อนแอ

 

สงครามเทคโนโลยี: เมื่อยักษ์ใหญ่เกาหลีใต้ถูกบีบ

ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนไม่ได้มีอยู่แค่เรื่องการค้า แต่ยังลุกลามไปถึงเรื่องเทคโนโลยีด้วย ประเด็นล่าสุดที่กำลังร้อนแรงคือข้อเสนอใหม่ของสหรัฐฯ ต่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้อย่าง Samsung และ SK Hynix ที่มีโรงงานผลิตชิปขนาดใหญ่อยู่ในจีน จากเดิมที่เคยได้รับการยกเว้นแบบไม่มีกำหนด ตอนนี้สหรัฐฯ เสนอให้เปลี่ยนมาเป็นระบบ "ใบอนุญาตรายปี" (Annual License) แทน ซึ่งหมายความว่าทั้งสองบริษัทจะต้องยื่นขออนุมัติจากวอชิงตันเป็นรายปี เพื่อนำเข้าเครื่องมือและชิ้นส่วนต่างๆ เข้าไปในโรงงานที่จีน

เรื่องนี้เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าสหรัฐฯ ต้องการควบคุมและตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานของชิปอย่างเข้มงวดมากขึ้น และบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกก็กำลังถูกบีบให้ต้องเลือกระหว่างสองมหาอำนาจนี้

 

ฝรั่งเศส กับวิกฤตหนี้สินและการเมือง

วิกฤตการเมืองกำลังปะทุขึ้นอย่างรุนแรง หลังจากนายกรัฐมนตรี ฟรองซัวส์ ไบรู ต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะพ่ายแพ้การลงมติไม่ไว้วางใจในสภาอย่างขาดลอย ชนวนเหตุมาจากปัญหาหนี้สาธารณะที่อยู่เหนือการควบคุม จนหนี้ของประเทศเพิ่มขึ้นในอัตรา 5,000 ยูโร ในทุกๆ วินาที โดยแผนรัดเข็มขัดครั้งใหญ่ รวมถึงการเสนอ ยกเลิกวันหยุดนักขัตฤกษ์ 2 วัน ไม่ได้รับการสนับสนุนและทำให้รัฐบาลล่มสลายลง

ปัญหานี้ถือเป็นความเสี่ยงใหญ่ของเศรษฐกิจอันดับสองในยุโรป และสะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วก็กำลังเผชิญกับความท้าทายทางการคลังอย่างหนัก

 

อินโดนีเซีย กับความเชื่อมั่นที่สั่นคลอน

เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยตรง เมื่อประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ได้สั่งปลดรัฐมนตรีคลัง ศรี มุลยานี อินทราวาตี อย่างกะทันหัน เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะคุณศรี มุลยานี เป็นที่ยอมรับอย่างสูงในหมู่นักลงทุนต่างชาติในด้านการรักษาวินัยทางการคลัง

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการเปิดทางให้รัฐบาลสามารถเดินหน้านโยบายประชานิยมที่ใช้เงินมหาศาลได้สะดวกขึ้น ตลาดตอบสนองต่อข่าวนี้ในเชิงลบทันที โดยค่าเงินรูเปียะห์อ่อนค่าลง สะท้อนถึงความเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติอาจขาดความเชื่อมั่นและนำไปสู่ปรากฏการณ์ "เงินทุนไหลออก" (Capital Flight) ได้

 

อินเดีย: เมื่อพายุการค้าเริ่มสงบลง (ชั่วคราว?)

สถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ และอินเดียที่เคยตึงเครียดอย่างหนักจากสงครามภาษี เริ่มมีสัญญาณผ่อนคลายลง หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมากล่าวชื่นชมนายกรัฐมนตรีโมดี และเรียกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเป็น "ความสัมพันธ์ที่พิเศษ" ซึ่งนายกฯ โมดีก็ได้ตอบรับในเชิงบวกเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ท่าทีของอินเดียยังคงเป็นไปอย่างระมัดระวัง เพราะถึงแม้บรรยากาศจะดีขึ้น แต่ปัญหาพื้นฐานที่ขัดแย้งกัน ทั้งเรื่องกำแพงภาษีและการที่อินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วค่ะ

 

ประเด็นการเมืองร้อนในสหรัฐฯ ที่ต้องจับตา

นอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจแล้ว ในแวดวงการเมืองของสหรัฐฯ ก็มีประเด็นร้อนที่น่าสนใจเกิดขึ้น เมื่อคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรได้เปิดเผยเอกสาร ซึ่งมีสิ่งที่อ้างว่าเป็นจดหมายอวยพรวันเกิดที่โดนัลด์ ทรัมป์เคยส่งให้กับเจฟฟรีย์ เอปสตีน นักการเงินผู้ล่วงลับที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีค้าประเวณีผู้เยาว์ เรื่องนี้ได้สร้างแรงกดดันทางการเมืองต่อตัวประธานาธิบดีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในอดีตของเขากับเอปสตีน ซึ่งแม้ว่าเรื่องนี้จะยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดโดยตรง แต่ก็ถือเป็นเสียงรบกวนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นในวอชิงตัน ซึ่งนักลงทุนมักจะคอยจับตามองอยู่เบื้องหลังเสมอ

 

สรุปส่งท้าย

โดยสรุปแล้ว แม้ว่าภาพรวมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในตอนนี้จะดูสดใสและขับเคลื่อนไปด้วยความหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของเฟด แต่ในฐานะนักลงทุน เราต้องไม่ลืมที่จะมองภาพให้รอบด้าน ตัวเลขเงินเฟ้อที่จะประกาศในสัปดาห์นี้จะเป็นบททดสอบสำคัญของตลาด และในขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ ของโลก ทั้งสงครามการค้าและเทคโนโลยี, วิกฤตหนี้ในยุโรป, และความเสี่ยงในตลาดเกิดใหม่ ล้วนเป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถละสายตาได้เลยค่ะ การลงทุนในช่วงนี้จึงต้องอาศัยการติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะปรับกลยุทธ์ให้ทันท่วงทีต่อทุกสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปค่ะ

 

 

ที่มาเนื้อหาจาก..เพจ Beauty Investor


เม่าคาวบอย