ห้องเม่าปีกเหล็ก

วิกฤตการณ์ ‘แฝดสยอง’ ตลาดน้ำมันโลก

โดย 98 Degree
เผยแพร่ :
61 views

วิกฤตการณ์ ‘แฝดสยอง’ ตลาดน้ำมันโลก   

ปกติแล้ววิกฤติด้านพลังงานจะเกิดขึ้นแค่ด้านใดด้านหนึ่ง เช่น วิกฤติด้านความต้องการที่ลดลงอย่างรุนแรงในเหตุการณ์วิกฤติการเงินโลกในปีค.ศ. 2008 หรือวิกฤติด้านการจัดหานํ้ามันที่มากเกินไปจนล้นเกินความต้องการ อย่างเหตุการณ์ที่กลุ่มโอเปกเพิ่มการผลิตเพื่อต่อสู้กับผู้ผลิต Shale Oil ในสหรัฐอเมริกาในปีค.ศ. 2016 เป็นต้น

แต่ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่วิกฤติด้านความต้องการ (Demand) และการจัดหา (Supply) เกิดขึ้นพร้อมกันจนนักวิเคราะห์พากันขนานนามว่าเป็นวิกฤติ “แฝดสยอง” หรือ “Twin Shock” อันนำมาซึ่งราคานํ้ามันที่ลดลงอย่างถล่มทลายถึง 60% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน วิกฤติด้านความต้องการเกิดจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก และรัฐบาลของประเทศต่างๆ ต้องใช้มาตรการที่
เข้มข้นในการควบคุมการแพร่ระบาด เช่น การปิดเมือง ปิดประเทศ จำกัดการเดินทาง และงดกิจกรรมทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งขอให้ประชาชนเก็บตัวอยู่ในบ้านอย่างน้อย 21 วัน (Social Distancing)

มาตรการต่างๆ เหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจเกิดภาวะหดตัวโดยทั่วไป ส่งผลถึงความต้องการนํ้ามันให้ลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนํ้ามันเบนซินและนํ้ามันเครื่องบิน มีการประเมินว่าในเดือนเมษายน-พฤษภาคมปีนี้ ความต้องการนํ้ามันเชื้อเพลิงโดยรวมจะลดลงมากถึง 15-20 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ในด้านการจัดหา ความแตกแยกระหว่างซาอุดีอาระเบียกับรัสเซียในเรื่องการลดการผลิต   เพิ่มการผลิตนํ้ามันให้เต็มกำลังการผลิตจาก 9 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็น 12 ล้านบาร์เรลต่อวันเมื่อความต้องการลดลงแต่การผลิตสูงขึ้น จึงมีการประเมินว่าตลาดน่าจะมีนํ้ามันล้นเกินอยู่ถึง 7 ล้านบาร์เรลต่อวัน และจะกดดันราคานํ้ามัน ให้ลดลงไปอยู่ในระดับกว่า 10 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลได้ในไตรมาส 2 ปีนี้

คำถามคือประเทศผู้ผลิตนํ้ามันเหล่านี้จะอดทนต่อราคานํ้ามันที่ตํ่าเตี้ยอย่างนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่!

คำตอบคงอยู่ที่ว่าต้นทุนการผลิตใครจะตํ่ากว่ากัน ถ้าต้นทุนการผลิตตํ่าก็คงอยู่ได้นานหน่อย ถ้ามองในแง่นี้ ซาอุดีอาระเบียคงได้เปรียบ เพราะมี ต้นทุนการผลิตตํ่าที่สุด ประมาณ 9.90 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่รัสเซียอยู่ที่ 17.20 และสหรัฐฯอยู่ที่ 36.20 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่ต้นทุนการผลิตตํ่าไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะบอกว่าใครจะอยู่ได้นานกว่า แต่มีอีกปัจจัยหนึ่งคือราคานํ้ามันที่คุ้มทุนทางการคลัง (Fiscal Break-even Oil Price) ซึ่งหมายถึงราคานํ้ามันที่จะทำให้ประเทศผู้ผลิตนํ้ามันแต่ละประเทศสามารถจัดงบประมาณทางการคลังให้สมดุลได้ ซึ่งราคาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าประเทศนั้นๆ ต้องพึ่งพารายได้จากนํ้ามันมากแค่ไหน และมีการจัดงบประมาณรายจ่ายขาดดุลมากมายขนาดไหน ถ้าต้องพึ่งพารายได้จากนํ้ามัน และใช้งบสิ้นเปลืองมาก ราคานํ้ามันที่ต้องการเพื่อให้งบประมาณทางการคลังสมดุลก็จะยิ่งสูง

ถ้าเราเอาตัววัดนี้มาจับก็จะพบว่าประเทศที่ต้องการราคานํ้ามันสูงที่สุดเพื่อให้งบประมาณสมดุลคือเวเนซุเอลา ซึ่งต้องการราคานํ้ามันที่ 216 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนซาอุดีอาระเบียอยู่ที่ 88 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และรัสเซียอยู่ที่ 53 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

มองในแง่นี้ซาอุดีอาระเบียก็ไม่ค่อยจะได้เปรียบสักเท่าไหร่ เพราะตัวเองก็พึ่งพารายได้จาก นํ้ามันมาก และใช้จ่ายงบประมาณทางการคลังค่อนข้างจะฟุ่มเฟือย ทั้งงบซื้ออาวุธ งบทำสงครามในเยเมน งบสวัสดิการ และงบประชานิยมต่างๆ

ดังนั้นจึงยังไม่อาจกล่าวได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้ !!!

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


98 Degree