ชี้เป้าแก้ปัญหาประเทศพื้นฐาน กับโอกาสไปต่อธุรกิจเกษตรที่ส่งผลดีต่อเกษตรกร
จาก "ศุภชัย เจียรวนนท์"
จากมุมมองของ "ศุภชัย เจียรวนนท์" ประเทศไทยจะไปต่อได้อย่างไร มีมุมมองที่น่าสนใจ ในด้านการแก้ไขปัญหาพื้นฐานของประเทศ เช่น เรื่องแก้ปัญหาความยากจน ความเลื่อมล้ำ ยกระดับสู่เกษตร 4.0 นั้น มองเห็นว่า ภาคการเกษตรยังต้องช่วยตัวเองเยอะวิธีการปรับตัวให้เร็วที่สุด คือ ทำเรื่องน้ำ เพราะไม่มีประเทศไหนในโลกที่น้ำท่วมและภัยแล้งในประเทศเดียวกัน มีเพียงไทย ถ้าจัดการเรื่องของน้ำให้ดี เราจะพลิกระบบเกษตรกรรมให้พัฒนาต่อไป ควรใช้จังหวะนี้เร่งปฏิรูประบบเกษตรจาก 1.0 เป็น 4.0 โดยลงทุนเรื่อง “น้ำ”
ถ้าบริหารจัดการ “น้ำ” ได้จะทำให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น 3 เท่า 5 เท่า หรือเป็น 10 เท่าก็ได้ คล้ายระบบไฟที่มี “สตอเรจ” สะสมไฟไว้ใช้ในช่วงพีก “น้ำ” ก็ไม่ต่างกันต้องมีพื้นที่กักเก็บ ถ้าพื้นที่เพาะปลูก 100 ไร่ ต้องมีพื้นที่เก็บน้ำ 6-10% หรือ 6-10 ไร่ โดยสร้างอ่างเก็บน้ำแล้วต่อท่อออกไปจะทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นแล้วมีองค์กรขึ้นมาบริหาร โดยเชื่อมโยงกับการตลาด มีสหกรณ์รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “เซอร์วิสฟาร์มมิ่ง” “นำศักยภาพการบริหาร นำเทคโนโลยีมาใช้ บริหารผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เกษตรกรก็จะมีรายได้ไปสร้างโครงสร้างพื้นฐานระดับชุมชมน ทำให้มาตรฐานความเป็นอยู่ของคนดีขึ้น มีความมั่นคงในชีวิต ไม่ต้องเป็นหนี้เป็นสิน ส่งลูกหลานเรียนจนจบได้”
และพร้อม เสนอให้ประเทศไทย “ปรับภูมิยุทธศาสตร์” เฟ้นหาข้อดีของประเทศ สร้างจุดเด่นให้น่าสนใจ เพื่อดึงดูดการลงทุน ปรับประเทศให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ ถ้าทำได้ไทยจะเป็นศูนย์กลางการค้า ถ้าทำได้ ไทยจะเป็นศูนย์กลางการเงิน และอื่นๆ การจะทำเช่นนั้นได้ รัฐบาล ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนต้องร่วมมือกันเปลี่ยนแปลง
ในส่วนของโอกาสของภาคธุรกิจการเกษตร พบว่า จากรายงานประจำปี Winning in maturing markets ของ PwC ระบุว่า อุตสาหกรรมการเกษตรมีความสำคัญต่อการกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก โดยมากกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนแรงงานทั้งหมดของประเทศ ล้วนเป็นแรงงานที่มาจากภาคการเกษตร เปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเยอรมนี ที่มีแรงงานในกลุ่มนี้เพียง 1-2% เท่านั้น
เหตุใดทำไม "ศุภชัย เจียรวนนท์" ถึงแนะให้พัฒนาแหล่งน้ำ และนำเทคโนโลยีมาใช้กับภาคเกษตรกรรมไทย ก็เพราะว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านเกษตรกรรมของไทยยังคงไม่เพียงพอที่จะรองรับการเติบโตในอนาคตได้ เพราะไทยมีระบบชลประทานเพียง 40% ของพื้นที่การเกษตรทั้งหมด ในขณะที่ผลผลิตธัญพืชมีปริมาณเพียง 3,600 กิโลกรัมต่อเฮกตาร์ ซึ่งน้อยกว่าผลผลิตโดยเฉลี่ยของโลกที่ราว 3,886 กิโลกรัมต่อเฮกตาร์ และปัจจุบันการนำ “เทคโนโลยี” เข้ามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตร กลายเป็นแนวทางหนึ่งที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจ เห็นได้จากเม็ดเงินลงทุนในสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้นในปี 2558 ยกตัวอย่าง เช่น สหรัฐอเมริกา ที่มีเม็ดเงินลงทุนในด้านนี้สูงถึง 4,600 ล้านดอลล่าร์ เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากปี 2557 ตามด้วย ประเทศในเอเชียที่น่าจับตาอย่างจีน ในอันดับที่ 2 และอินเดีย ในอันดับที่ 8 เป็นต้น
จึงทำให้โอกาสในภาคธุรกิจการเกษตรไทย หากมีความเชี่ยวชาญ หรือมีศักยภาพด้านเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาคุณภาพต่างๆ สามารถเข้าไปเจาะตลาด อุตสาหกรรมการเกษตรได้ ตัวอย่าง เทคโนโลยีด้านเกษตรกรรม อย่างเช่น MVAS คือ การเป็น ‘ตัวเชื่อม’ เกษตรกรในพื้นที่ห่างไกล และยังมีโครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงพอ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่จำเป็น เช่น ข้อมูลสภาพอากาศ ข้อมูลของผู้ซื้อ และราคาในแบบเรียลไทม์
ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้เกษตรกรสามารถปรับปรุงกระบวนการเพาะปลูกเท่านั้น แต่ยังเป็นการลดการพึ่งพา ‘พ่อค้าคนกลาง’ ในการกระจายสินค้าอีกด้วย นอกจากนี้ MVAS ยังรองรับกระบวนการกำจัดของเสีย ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรจัดการกระบวนการกำจัดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านบริการระบบการติดตาม (Tracking) และระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability)
จากตัวอย่างเบื้องต้นของเทคโนโลยี น่าจะฉายภาพให้ผู้อ่านเห็นถึง ‘โอกาสทางธุรกิจที่แฝงอยู่ในอุตสาหกรรมการเกษตรไทย’ ได้ชัดขึ้น สุดท้ายแล้ว หากมีกิจกรรม องค์ความรู้ที่ช่วยสนับสนุน ไม่ว่าจะมาจากรัฐบาล ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน หรือท่านใดสามารถเรียนรู้ ปรับตัว นำโอกาสในการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้สนับสนุนองค์ความรู้กับเกษตรกรไทย แน่นอนว่าโอกาสของแก้ไขปัญหาขั้นพื้นฐานของประเทศก็จะเกิดขึ้นได้ เพื่อให้ทันในยุคของการแข่งขันบนโลกดิจิทัลหมุนเร็วเฉกเช่นทุกวันนี้
---------------------------------------------