เงินเฟ้อ แบงก์ชาติ (BOT) และผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย
อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค.ของไทยขยายตัวที่ 7.1% yoy จาก 4.65% yoy ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 13 ปี สาเหตุหลักมาจาก 1) ฐานที่ต่ำจากปีที่แล้ว เนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19
2) การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน และ 3) การปรับตัวขึ้นของราคาอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ เป็นต้น โดยการคาดการณ์ไปข้างหน้า มีแนวโน้มที่อัตราเงินเฟ้อไทยยังยืนอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง จากฐานที่ยังต่ำอยู่จากปีที่ผ่านมา ราคาพลังงานที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในประเทศ จากการหยุดมาตรการให้เงินอุดหนุนของกองทุนน้ำมัน (ราคา Diesel Price Caps ที่ 35 บาท/ลิตร จะหมดในช่วงสิ้นเดือนมิ.ย.)
รวมทั้งค่าไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากต้นทุนก๊าซที่สูงขึ้น และราคาอาหารที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ตามต้นทุนที่ยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง 4) สินค้าคงคลังของบริษัทต่าง ๆ ทยอยหมดลง และต้องมีการผลิตสินค้าเพิ่มเติมในราคาที่สูงขึ้น จึงเริ่มมีการทยอยปรับราคาสินค้าขึ้น
ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ตามเดิม อย่างไรก็ตาม คะแนนโหวตที่ 4:3 คงอัตราดอกเบี้ย : ขึ้นอัตราดอกเบี้ย สะท้อนถึงท่าทีที่เข้มงวดมากขึ้นของคณะกรรมการ นอกจากนี้ คณะกรรมการได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2565 ขึ้นจาก 3.2% yoy เป็น 3.3% yoy
โดยเห็นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจดีกว่าที่คาดจากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวแข็งแกร่งและตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวมากกว่าคาด ในขณะที่ปรับประมาณการตัวเลขอัตราเงินเฟ้อขึ้น จากตัวเลขเงินเฟ้อปัจจุบันที่สูงกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารกลาง
โดยเป็นผลจากราคาพลังงานและต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้นในหลายสินค้า โดย กนง.ได้ปรับเป้าเงินเฟ้อขึ้นจาก 4.9% yoy เป็น 6.2% y/y จากท่าทีที่เข้มงวดขึ้นรวมทั้งการปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจขึ้นนี้ จึงมีโอกาสสูงที่ กนง.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบถัดไปในเดือนสิงหาคม
หลังจากคงดอกเบี้ยในระดับต่ำสุดมาเป็นระยะเวลานาน อย่างไรก็ตาม แม้เราเชื่อว่า กนง. จะปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นบ้าง แต่การปรับขึ้นคงอยู่ในอัตราที่ช้ากว่าโดยเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้กลับไปสู่ระดับก่อนโควิดในขณะที่หลายประเทศฟื้นตัวสู่ระดับนั้นแล้ว
ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้รับผลประโยชน์จากช่วงดอกเบี้ยขาลงและอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ โดยหลายบริษัทในตลาดสามารถระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจผ่านตราสารหนี้และการกู้โดยมีต้นทุนของเงินทุนในระดับต่ำ แต่จากทิศทางอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่มีการปรับเป็นขาขึ้นในระยะถัดไป ดังนั้น การลงทุนในตลาดจึงต้องมีการปรับกลยุทธ์การลงทุน โดยกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์คือกลุ่มประกันภัยและกลุ่มธนาคารพาณิชย์โดยกลุ่มประกันภัยได้ประโยชน์จาก
1) Asset -Debt Mismatch โดยบริษัทประกันมักจะมีหนี้สินส่วนใหญ่ที่มีอายุยาว (กรมธรรม์) และมีสินทรัพย์ที่มีอายุสั้นกว่า (พอร์ตลงทุน) ดังนั้น มูลค่าของหนี้สินที่คิดลดกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบันจะลดลงมากกว่ามูลค่าของสินทรัพย์
2) ผลตอบแทนจากการลงทุนใหม่ (Reinvestment Rate) ที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้รายรับจากการลงทุนสูงกว่าที่บริษัทเคยทำประมาณการในช่วงดอกเบี้ยต่ำ ในส่วนของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดว่าได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่มักจะปรับขึ้นก่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งจะทำให้ Spread ของดอกเบี้ยรับขยายตัวขึ้น
นอกจากนี้ การปรับประมาณการณ์ตัวเลข GDP ขึ้นของธนาคารแห่งประเทศไทยสะท้อนการฟื้นตัวที่มากกว่าคาดของเศรษฐกิจ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนุนการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์โดยตรง ในทางตรงกันข้าม กลุ่มที่มีการใช้เงินกู้ในการขยายธุรกิจสูง และมี D/E Ratio ในระดับสูง จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนทางการเงินที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เช่น กลุ่มการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non-bank) ที่มีการออกตราสารหนี้มาขยายพอร์ตสินเชื่อ
โดยฝั่งอัตราดอกเบี้ยมักจะคงที่จากนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ในขณะที่ต้นทุนเงินกู้ปรับเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ Spread ดอกเบี้ยรับแคบลง เป็นต้น นอกจากนี้ สำหรับหุ้นในกลุ่มค้าปลีก อาจได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้กำลังซื้อของลูกค้าปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้รายได้ในเชิงตัวเงิน (Nominal) จะปรับเพิ่มขึ้นก็ตาม
ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป จึงต้องมีลักษณะการลงทุนที่ระมัดระวังมากขึ้น เลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานธุรกิจดี มีกระแสเงินสดในปัจจุบันที่แข็งแกร่ง สามารถผลักภาระต้นทุนไปให้ผู้บริโภคหรือคู่ค้าได้ และผู้บริหารที่มีความสามารถนำพาบริษัทโต้คลื่นเศรษฐกิจจากทั้งอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้